ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ลดลงต่ำสุดในรอบ 16 เดือน
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือนตุลาคม 2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ลุ้นรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ โค้งสุดท้าย ปี2566
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายจำรัส สว่างสมุทร ผู้อำนวยการใหญ่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 88.4 ปรับตัวลดลง จาก 90.0 ในเดือนกันยายน ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของค่าดัชนีฯ พบว่าปรับตัวลดลงเกือบทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ยกเว้นความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากภาครัฐออกมาตรการลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2566 ที่ปรับตัวลดลง มีปัจจัยลบมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวช้า เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมและภาคการผลิตชะลอตัวลง โดยเฉพาะในหมวดสินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่การปรับขึ้นราคาสินค้ายังทำได้จำกัด ประกอบกับมีการแข่งขันสูงด้านราคา นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่งผ่านไปยังต้นทุนทางการเงินและทำให้ภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาททำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าและราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการและกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากอุปสงค์จากต่างประเทศที่ทยอยฟื้นตัว สะท้อนจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง รวมถึงอานิสงส์มาตรการ “วีซ่าฟรี” ให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,337 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนตุลาคม 2566 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 85.7 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 70.1 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 48.8 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 52.7 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 41.2 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 40.5 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 94.5 ปรับตัวลดลง จาก 97.3 ในเดือนกันยายน โดยมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก รวมถึง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส หากยืดเยื้อและขยายเป็นวงกว้าง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลกและความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังกังวลต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1. เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 อาทิ นำโครงการ e-refund มาเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนธันวาคม 2566 เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายของประชาชน
2.เร่งรัดการกำหนดมาตรการในการพักหนี้ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) เป็นระยะเวลา 1 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นหนี้เสียจากโควิด-19 หรือลูกหนี้รหัส 21 รวมทั้งออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและส่งเสริมให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
3.ขอให้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการค่าจ้างหรือไตรภาคี พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่