ชนะ ‘สแกมเมอร์’ กี่โมง???


รัฐบาลไทย เปิดฉาก “สงครามไซเบอร์” ครั้งใหญ่! ยกระดับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็น “ภัยความมั่นคงของชาติ!” นายกฯอนุทิน ประกาศรวมพลัง 14 หน่วยงานรัฐ–เอกชน สกัดขบวนการสแกมเมอร์ ที่กัดกร่อนสังคมและเศรษฐกิจไทย กับคำประกาศกร้าว! “สงครามที่เราต้องชนะเท่านั้น” น่าสนใจว่า…ศึกยืดเยื้อ? ที่ต้องอาศัย…กลยุทธ์ เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน…ทำได้จริงหรือไม่? เริ่มทำตอนไหน? และจะชนะตอนกี่โมง? (อ่าน…ข้อเสนอกลยุทธ์ 5 ด้าน)
6 พ.ย. 2568 กลายเป็นอีก “วันสำคัญ” ในประวัติศาสตร์…นโยบายความมั่นคงดิจิทัล ของประเทศไทย เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานใน พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 14 แห่ง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
เป้าหมายคือ การสร้างความร่วมมือระดับชาติ! ต่อการ “ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” อย่างเป็นระบบ
ภายใต้ถ้อยคำหนักแน่นว่า…“นี่คือสงครามที่เราต้องชนะเท่านั้น!!??”
การลงนามครั้งนี้…มีหน่วยงานหลักเข้าร่วม ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ก.ล.ต. และ สมาคมธนาคารไทย
สะท้อนความพยายามของรัฐในการสร้าง “ยุทธภาคีต่อต้านสแกมเมอร์” อย่างเป็นรูปธรรม!!!
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อาชญากรรมไซเบอร์ได้กลายเป็น “ภัยมั่นคงอันดับต้น” ของประเทศ เพราะเมื่อมี “เหยื่อ” เพียงหนึ่งคน ความเสียหายจะลุกลามไปถึง…ครอบครัว ระบบเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของชาติ
ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติ
“สิ่งที่เราลงนามในวันนี้…ไม่ใช่เอกสาร แต่คือ อาวุธ ของสงครามที่ทั้งประเทศต้องร่วมรบ” นี่คือคำพูดจากปากของคนเป็น “ผู้นำประเทศ”…
การประกาศสงครามกับ “สแกมเมอร์” จึงมิใช่เพียง…แค่การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ แต่มันคือ การ “ยกระดับ!” ให้เป็น “ยุทธศาสตร์ชาติด้านความปลอดภัยดิจิทัล” และ “การคุ้มครองความมั่นคงทางเศรษฐกิจดิจิทัล” ในระยะยาว!!!
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในสมรภูมินี้…ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย??? เพราะ “ข้าศึก” ไม่ได้อยู่ในเขตแดนเดียวกัน แต่กระจายอยู่ในเครือข่ายข้ามชาติที่ซับซ้อน มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายไทยในการฟอกเงิน ปิดบังตัวตน หรือหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางดิจิทัล
นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์ อย่าง อาจารย์ปริญญา นิ่มแก้ว ได้เตือนว่า “ไทยยังไม่มีอธิปไตยทางไซเบอร์เต็มรูปแบบ เพราะการควบคุม “ภัยในโลกออนไลน์” ไม่อาจยึดติดเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่ต้องมีระบบการประสานข้อมูล การเข้าถึงฐานข้อมูลต่างประเทศ และความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง”
นอกจากนี้ ยังมี “เสียงสะท้อน” จาก…ภาคประชาชน และสื่ออิสระ ที่ตั้งคำถามว่า…แม้รัฐบาลจะลงนาม MOU ครั้งใหญ่ แต่หากขาดความต่อเนื่องในทางปฏิบัติ ขาดความจริงใจในการบังคับใช้ หรือไม่มีระบบวัดผล ที่แน่ชัด! และจับต้องได้จริงแล้ว…
สงครามนี้…อาจกลายเป็นเพียง “สงครามเชิงสัญลักษณ์” มากกว่าจะเป็นการรบที่มีชัยจริงๆ!!!
“ผู้บริหารระดับสูง” ในภาคธุรกิจการเงิน ชี้ว่า…ปัญหาการฟอกเงินและบัญชีม้าในระบบธนาคารไทย ยังคงเป็น “ช่องโหว่ใหญ่” ของสงครามนี้ ดังนั้น การที่ “ผู้บริหารระดับสูง” จากธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยเข้าร่วม จึงถือเป็นก้าวสำคัญ…
นั่นเพราะ “เส้นทางเงิน” คือ…หัวใจของการปราบปราม “สแกมเมอร์” ทุกประเภท
หากระบบธนาคาร…สามารถติดตามธุรกรรมต้องสงสัยได้แบบ “เรียลไทม์” การสกัดอาชญากรรมออนไลน์จะมีประสิทธิภาพกว่าการจับกุมภายหลัง
ในอีกด้านหนึ่ง หน่วยงานอย่าง…กระทรวงดิจิทัลฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังจะต้องเผชิญภารกิจซับซ้อน เพราะ…อาชญากรรมไซเบอร์ มีลักษณะ “แฝงตัว” ในแพลตฟอร์มสื่อสังคม แอปชำระเงิน และเว็บไซต์ปลอม ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบอยู่เสมอ…
ยากต่อการกำจัด ทำลาย และสกัดกั้น!!!
ดังนั้น การปรับตัวของเจ้าหน้าที่ การใช้ AI และการวิเคราะห์ Big Data จึงเป็น “หัวใจสำคัญ” ของการรบเชิงรุกในระยะยาว…
อุปสรรคสำคัญ! อีกประการ คือ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” ที่มักติดกับดักระบบราชการแบบแนวดิ่ง…ข้อมูลข่าวกรองของหน่วยงานหนึ่ง อาจไม่ถูกแชร์ให้กับอีกหน่วยงานทันเวลา ส่งผลให้ “การสกัด” เส้นทางเงิน หรือ การติดตามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ…อาจเกิดความล่าช้าได้???
ขณะเดียวกัน ระบบร้องเรียน หรือแจ้งเบาะแสของประชาชน ยังมีความซับซ้อน ทำให้ประชาชนรู้สึก “ห่าง” จากกลไกรัฐ ทั้งที่ภาครัฐเอง ต้องการให้ประชาชน…มาเป็น “แนวร่วม” ในสงครามนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมอง…ในเชิงยุทธศาสตร์! สงครามกับ “สแกมเมอร์” ก็เปิดโอกาสใหม่? ให้ไทยได้พัฒนาโครงสร้าง “ความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ” อย่างครบวงจร!!!
จากเดิม…ที่เป็นเพียง หน่วยย่อยกระจัดกระจาย สู่การมี ระบบป้องกัน – ปราบปราม – เยียวยา และการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมที่ยั่งยืน
แนวทางสำคัญ คือ การทำให้ประชาชน “รู้เท่าทันภัย” ไม่ต่างจากการมี “ภูมิคุ้มกันโรค” ในระดับสังคม
เพราะสถิติจาก ดีอีเอส ระบุว่า…กว่า 70% ของเหยื่อ scam คือ ผู้ที่มีความรู้ดิจิทัลระดับปานกลาง แต่ขาดความระมัดระวัง
จึงจำเป็นต้องมี…ระบบการศึกษา และการสื่อสารสาธารณะ ที่ทำให้ “คนทุกวัย” ตื่นตัวและกล้าแจ้งเหตุ
รัฐบาลเอง ก็จะต้องเร่งสร้างความโปร่งใสในผลปฏิบัติ เช่น รายงานจำนวนคดีที่ยุติ มูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ และสัดส่วนคดีข้ามชาติที่ประสานสำเร็จ เพื่อสร้าง “ความเชื่อมั่น” ทั้งภายในประเทศและในเวทีนานาชาติ ว่า…
“ไทยเอาจริง! กับการปราบปราม “สแกมเมอร์” อย่างต่อเนื่อง!!!”
สุดท้าย…สงครามนี้ จะไม่ชนะได้ด้วย “นโยบาย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี “พลังจาก 3 เสาหลัก” นั่นคือ…
1. รัฐที่มีประสิทธิภาพ 2. เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และ 3. ประชาชนที่ตื่นรู้
ถ้า “องค์ประกอบทั้ง 3” สามารถจะทำงานร่วมกันได้ดีแล้ว ประเทศไทย…อาจกลายเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียน ที่สามารถสร้าง “เกราะดิจิทัลแห่งความมั่นคง” ได้จริง!!!
และสงครามนี้…จะไม่ใช่เพียง “คำพูด” บนโพเดียม แต่เป็น…ชัยชนะของระบบสังคมทั้งประเทศ

ข้อเสนอจาก…ทีมข่าวยุทธศาสตร์ ว่าด้วย…กลยุทธ์ 5 ด้านของสงครามปราบ “สแกมเมอร์” ที่ รัฐบาลและหน่ายงานที่เกี่ยวข้อง ใน MOU ฉบับนี้ อาจต้องนำไปพิจารณาประกอบ แผนงานยุทธศาสตร์ ข้างต้นนั่นคือ…
1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ดำเนินคดีผู้กระทำผิดและผู้สนับสนุนทุกระดับ ยึดหลัก “ไม่ปล่อยคนผิดหลุดรอด” ใช้กฎหมายพิเศษในคดีข้ามชาติ
2. การประสานข้อมูลและข่าวกรองแบบบูรณาการ เชื่อมระบบ “ฐานข้อมูล” ของหน่วยงานรัฐและเอกชน สร้าง ศูนย์ปฏิบัติการร่วม Real-Time เพื่อติดตามพฤติกรรมและเส้นทางการเงิน
3. การสกัดเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์สินทันที ใช้เทคโนโลยีตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย ระงับบัญชี และยึดทรัพย์ ก่อนเงินจะไหลออกนอกระบบประเทศ
4. การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI เชิงรุก พัฒนา AI ตรวจจับพฤติกรรม Deep Fake – Phishing และระบบแจ้งเตือนภัยอัตโนมัติ ให้แก่ประชาชนในวงกว้าง
5. การสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและความรู้เท่าทันดิจิทัล จัดแคมเปญ “รู้ทันสแกม” ทุกจังหวัด สื่อสารต่อเนื่องผ่านสื่อออนไลน์และชุมชน ส่งเสริมการแจ้งเบาะแสและการคุ้มครองผู้แจ้ง
สงครามครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่…การปราบโจรดิจิทัล แต่คือ…การพิสูจน์ศักยภาพของรัฐไทย ในการสร้างภูมิคุ้มกันทางเทคโนโลยีให้กับคนไทยทั้งประเทศ
เพราะในยุคที่…โลกทั้งใบเชื่อมต่อกันผ่านปลายนิ้ว “ชัยชนะเหนือสแกมเมอร์” อาจกลายเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงใหม่ของศตวรรษที่ 21
น่าสนใจว่า…ประเทศไทย ในวงล้อม “ชาติสแกมเมอร์” อย่าง…เมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาว ฯลฯ นั้น
การนิ่งเฉย! ของรัฐไทย…ไม่เพียง “ยอมจำนน” ต่อองค์กรธุรกิจสีเทา/ดำ
หากยังถูกมองจาก…นานาชาติว่า เป็น “ฐาน” ส่งกำลังบำรุงสำคัญ “อาหาร – ข้าวของเครื่องใช้จำเป็น – ไฟฟ้า – อินเตอร์” ให้กับธุรกิจสกปรกข้ามชาติ!
การประกาศกร้าว! ของ “นายกฯอนุทิน” กับภารกิจ “ปราบสแกมเมอร์…สงครามที่รัฐไทยต้องชนะเท่านั้น”…
ที่สุด! ทำได้จริงหรือไม่? ทำแค่ไหน? และที่สำคัญคือ…จะเริ่มทำจริงๆ จังๆ กันเมื่อไหร่? และรัฐไทยจะชนะ! กันตอนกี่โมง???.






