ศสช. แนะไทยคว้าโอกาส ความเสี่ยง ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ สร้างความได้เปรียบทางการค้า
“สภาพัฒน์” แนะไทยคว้าโอกาสจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ จากการย้ายฐานการผลิตและการเร่งสร้างฐานการผลิตใหม่ มองไทยต้องมีจุดยืนที่เหมาะสม เพื่อสร้างความได้เปรียบ-รับมือความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
วันที่ 23 ก.ย. 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” เปิดเผยในงานสัมมนา พลิกความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สร้างโอกาส ประเทศไทย ว่า ปัจจุบันปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (GEOPOLITICS) เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ ความมั่นคงทางพลังงาน และ ล่าสุดคือ เรื่องของเทคโนโลยี ที่มีทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการปิดกั้นเทคโนโลยี
โดยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก นำไปสู่ความไม่มั่นคงในหลากหลายมิติ และแต่ละเรื่องส่งผลต่อไทยด้วย เพราะเป็นประเทศเล็ก โดยในระยะต่อไป ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก จะยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก จากการกีดกันทางการค้าที่ยังเกิดขึ้น ผลกระทบต่อพลังงาน แม้ว่าขณะนี้ราคาพลังงานจะทรงตัว แต่ในระยะถัดไปหากสงครามในตะวันออกกลางขยายวงกว้าง อาจมีปัญหาในเรื่องพลังงานตามมา รวมถึงยังมีผลต่อการสูญเสียระบบนิเวศ ความเสียหาต่อชีวิตและทรัพย์สิน วิกฤติผู้ลี้ภัย อาชญากรรมข้ามชาติ
สำหรับสิ่งที่ต้องติดตาม คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยมีนโยบายที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การกดดันของจีนยังดำรงอยู่ ดังนั้น ปัญหาสงครามเทคโนโลยี สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน จะยังดำรงอยู่ ซึ่งจะกระทบกับประเทศไทย แต่มองว่าจะเป็นโอกาสของไทยด้วย
“สงครามการค้า นำไปสู่สงครามเทคโนโลยี และขยายไปสู่เทคโนโลยีในหลายสาขา ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ โดยสมรภูมิหลัก คือ เซมิคอนดักเตอร์, ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์เหล็ก, แร่ธาตุหายาก และ แพลตฟอร์มดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการเร่งสร้างฐานการผลิตใหม่ เกิดการควบคุมสินค้า วัตถุดิบสำคัญ การแบ่งแยกของห่วงโซ่อุปทาน “ นายดนุชา กล่าว
ดังนั้น ความท้าทายของไทย ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก ประกอบด้วย 1.การค้าการลงทุน FDI ที่ไหลสู่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และ การไหลเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่กระทบผู้ประกอบการภาคการผลิตของไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอี หรือ ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ขัดแย้ง 2.เทคโนโลยี ควรให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มให้บริการที่แยกจากกัน ที่จะส่งผลให้ต้นทุนการใช้บริการสูง รวมถึงประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์และช่องว่างทางดิจิทัล
3.แรงงานและทักษะ การพัฒนา ecosystem ที่เอื้อต่อการดึงดูดแรงงานทักษะสูง และ ทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับแนวโน้มทางเทคโนโลยีและตลาด รวมถึงการพัฒนาเมืองที่สามารถดึงดูด Talent การรองรับแรงงานหรือผู้ย้ายถิ่นจากเมียนมาร์ 4.ความมั่นคงทางอาหาร แล ะ5.ความมั่นคงทางพลังงาน ไทยมีสัดส่วนนำเข้าพลังงานที่สูง แม่ยังมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเกิดความมั่นคงทางพลังงาน ไทยจึงต้องเร่งสร้างความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาคและการพัฒนาพลังงานสะอาด และต้องใช้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีและ Critical Materials ที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างชาญฉลาด
สำหรับการบริหารจัดการเพื่อรับมือความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลก มีดังนี้
1.การวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ ด้านนโยบายระหว่างประเทศที่เหมาะสม เพื่อรับมือความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อมานาน
2.การรับมือมาตรการทางเศรษฐกิจ การกีดกันทางการค้าระหว่างขั้วอำนาจ ซึ่งกระทบต่อการค้าการลงทุน และการส่งออกของไทย
3.การสร้างความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อสสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และท่าทีที่เหมาะสมของไทยในการรับมือสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และ 4.การยกระดับศักยภาพในการผลิต และการบริหารจัดการห่วงโซ่ อุปทานเพื่อสร้างความมั่นคงอาหารและความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
ด้าน นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ไทยต้องมีจุดยืนที่เหมาะสมโดยจะทำอย่างไรให้อยู่ในสถานการณ์ใดก็ได้ที่ได้เปรียบที่สุดไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร “ไทยจะต้องวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ด้านนโยบายระหว่างประเทศที่เหมาะสม เพื่อรับมือความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ รวมถึงแสวงหาโอกาสจากการ ที่ประเทศต่างๆพยายามหาพันธมิตร เพื่อสร้างสายสัมพันธ์และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ” นายศุภวุฒิ กล่าว.