หุ้นไทยพลิกร่วงกว่า15จุด หลังศาลรธน.เชือด ‘เศรษฐา’ ภาคเอกชน ช็อกชะงักลงทุน
หุ้นไทยพลิกร่วงกว่า 15 จุดหลังมีคำตัดสิน”เศรษฐา” พ้นนายกฯ “บล.เอเซีย พลัส” เชื่อจะเกิดสุญญากาศทางการเมือง แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ขณะ ภาคเอกชนช็อคชะงักการลงทุน
ความเคลื่อนไหวหุ้นไทยบ่ายวันนี้ (14 ส.ค.) หลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดียื่นถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติในความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 15 จุด ก่อนจะรีบาวน์ขึ้นมาเล็กน้อย
ล่าสุด ณ เวลา 15:41 น. SET อยู่ที่ 1,287.47 จุด -10.32 จุด หรือ ลบ 0.80% มูลค่าซื้อขาย 38,571.00
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ระบุว่า กรณีนายกฯ ถูกถอดถอน รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน ส่วน ครม. สามารถรักษาการต่อได้ จนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ซึ่งจะจัดให้มีการโหวตเลือกในสภาผู้แทนราษฎร์ภายใน 45-60 วัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงเวลาที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ก็น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ประเมินจากการจับมือของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเข้มแข็ง และก็ไม่น่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายที่สำคัญ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในมุมของภาคเอกชนได้สะท้อนให้เห็นภาพหลายแล้ว และคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ ทำให้นักลงทุนต่างช็อกและชะงักการลงทุน
สำหรับปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้า รวมถึงมีความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในโลก และประเทศไทยก็ยังอยู่ในช่วงที่จะต้องรีบเร่งในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น สร้างการลงทุนใหม่ ๆ เชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงจังหวะที่สำคัญ และปัจจัยที่เป็นตัวที่พิจารณาสำหรับนักลงทุน ก็คือเรื่องของการเมือง เราต้องมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ หรือว่ามีความนิ่ง และต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาไม่มีความต่อเนื่องมานาน การเปลี่ยนขั้วพรรคการเมืองตลอดเวลาก็จะทำให้นโยบายที่รัฐบาลเคยขับเคลื่อนนั้นหยุดชะงักไป มันก็ขาดความต่อเนื่อง”
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีคดี ตลอดระยะเวลากว่า 80 วัน ทุกคนก็ชะลอการลงทุนอยู่แล้ว และรอดูกันอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ทุกฝ่ายมีการมอนิเตอร์ ติดตามผล แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอุตสาหกรรมจะหยุดหมดเพราะก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุตสาหกรรมนั้น ๆ ด้วย
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศฝั่งอเมริกา ยุโรป อาจจะให้น้ำหนักในเรื่องนี้มาก เรียกว่าซีเรียสเลยก็ว่าได้ ทำให้มีนักธุรกิจหลายรายต้องการความชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามพูดคุยกับทาง ส.อ.ท อยู่ตลอดเวลา แต่ว่านักลงทุนทั้งโซนเอเชียเองอย่างนักลงทุนจากญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไทย และอยู่ในประเทศมา 40 – 50 ปี ก็อาจจะเริ่มเรียนรู้ และสามารถปรับตัวได้
“ตลอดระยะเวลาในช่วงปี 1 ที่ผ่านมา ผมคิดว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา เพราะขึ้นมาเป็นรัฐบาลในช่วงที่เกิดความท้าทายของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้า เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การที่ต้องเลือกข้าง การย้ายฐานการผลิตจำนวนมากที่ไม่เคยรุนแรงและเข้มข้นขนาดนี้มาก่อน และรวมถึงปัญหาสะสมของประเทศไทย ที่ลึกไปเชิงโครงสร้างมาตั้งนาน แต่ว่าท่านนายกก็สามารถเข้ามาทำงาน ปรับตัวและใช้เวลาไม่มาก 3-4 เดือน ก็เริ่มพอเข้าใจในหน้าที่และมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องต่าง ๆ ได้” นายเกรียงไกร กล่าว.