รมช.คมนาคมแนะ กทท.มุ่งเชื่อมโยงไร้รอยต่อ เน้นโปร่งใส-เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน

รมช.คมนาคม “มนพร เจริญศรี” เดินสายตรวจเยี่ยม พร้อมมอบนโยบายเชิงรุก “เชื่อมโยงไร้รอยต่อ” ให้ กทท. เร่งดำเนินการ โดยมุ่งเน้น “การให้บริการ เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ พัฒนาสู่ท่าเรือสีเขียว สร้างความโปร่งใส่การจัดซื้อจัดจ้าง” ย้ำ! เมื่อองค์กรเจริญ ชีวิตทุกคนก็เจริญเช่นกัน  

วันที่ 17 ต.ค. 2566 ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคารที่ทำการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.), นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เป็นประธานประชุมมอบนโยบาย พร้อมตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน และเปิดสถาบันด้านการขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์ (Maritime Logistics Institue: MLI) ของการท่าเรือฯ พร้อมด้วย นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการฯ  และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม โดยมี นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการการท่าเรือ คณะผู้บริหาร พนักงาน และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ  ให้การต้อนรับ  

รมช.คมนาคม กล่าวว่า กทท.เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการเสริมสร้างศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก ดังนั้น การมอบนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจของรัฐบาล จะต้องมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ มุ่งพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านคมนาคมขนส่งและบูรณาการเชื่อมต่อการขนส่งอย่างไร้รอยต่อการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเพิ่มรายได้แก่องค์กร การนำเทคโนโลยีพร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการ รวมทั้งการพัฒนาท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานสะอาดตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยได้มอบนโยบายฯ ดังนี้

1.ผลักดันโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) เพื่อลดผลกระทบปัญหาจราจรระหว่างท่าเรือกรุงเทพกับการจราจรบนท้องถนนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ โครงการ “ราชรถยิ้ม” เพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับภาคการคมนาคมขนส่ง

2. ส่งเสริมต่อยอดระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยการบูรณาการเชื่อมต่อระบบการคมนาคมขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด ในเขตเมือง เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมของประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เกิดสมรรถนะในการปฏิบัติงานด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

3. เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Transport) โดยบูรณาการระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบให้เชื่อมต่อทางบก ทางราง และทางน้ำ อย่างไร้รอยต่อให้มีความสะดวกและรวดเร็ว

4. การพัฒนาระบบท่าเรืออัตโนมัติ (Port Automation) โดยนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมของท่าเรือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการ รวมทั้งนำระบบอัตโนมัติ (Automated Operation) ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในการให้บริการเพื่อมุ่งสู่การเป็น Smart Port

5. มุ่งสู่การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการพัฒนาสู่การเป็นท่าเรือสีเขียวร่วมกับห่วงโซ่อุปทาน (Green Port Supply Chain) ส่งเสริมการเป็นท่าเรือที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Port) รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาด อาทิ การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า

6. เร่งรัดเพิ่มขีดความสามารถโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของท่าเรือ ประกอบด้วย การเร่งรัดผลักดันการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3, การบริหารสัญญา PPP เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด, การพัฒนาท่าเรือให้เป็นท่าเรืออัตโนมัติ (Port Automation), บริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า, เร่งรัดพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ของการท่าเรือฯให้เกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์

7. ส่งเสริมการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Assets Management) โดยเร่งหารายได้จากการบริหารทรัพย์สินให้มากขึ้น อาทิเช่น การนำที่ดินที่มีศักยภาพมาประมูล/ให้เช่าเพื่อสร้างรายได้ให้กับองค์กร รวมทั้งพัฒนาระบบการบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์และสามารถแก้ไขปัญหาชุมชน ฯลฯ ”

นอกจากนี้ รมช.คมนาคม ยังได้เร่งรัดให้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาดำเนินการต่อไป  รวมทั้งสนันสนุนให้ท่าเรือกรุงเทพเป็นท่าเรือท่องเที่ยวโดยทำในลักษณะคอมมูนิตี้ที่ทันสมัยสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ และประชาชน  

“ดิฉันขอเน้นย้ำในเรื่องจัดซื้อจัดจ้างที่จะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้และไม่ถูกร้องเรียนจากสำงานตรวจเงินแผ่นดินหรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  หรือ ปปช. ซึ่งในการทำงานอยากให้ทุกคนรักองค์ เมื่อองค์ดีชีวิตทุกคนก็จะดี และขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันทำงานเพื่อการท่าเรือ หรือ กทท.” รมช. คมนาคม ย้ำหนักแน่น

ด้าน นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์ ผู้อำนวยการ กทท. ได้รายงานสรุปแผนงานและโครงการที่สำคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาบริการและโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ การใช้ประโยชน์สินทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาสู่องค์กรสมรรถนะสูง การสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและชุมชนโดยรอบ

นอกจากนี้ ยังได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่สำคัญต่าง ๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรือกึ่งอัตโนมัติ โครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าท่าเรือกรุงเทพและศูนย์เชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษ สายบางนา-อาจณรงค์ (S1) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการท่าเรือระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) และโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย (Smart Community) รวมทั้งรายงานแผนการพัฒนา Business Model ในอนาคต ได้แก่ โครงการท่าเรือพันธมิตร (Chao Phraya Super Port Project) และโครงการเขตปลอดอากรท่าเรือกรุงเทพ เป็นต้น

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 ของ กทท. มีผลกำไร 6,890 ล้านบาท และที่สำคัญ กกท.  มีรายได้ส่งเข้ารัฐทุกปี.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password