กรุงไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เหลือ 3%
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงสู่ 3% จากเดิม 3.4% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลง ขณะที่การส่งออกทั้งปีอาจติดลบ ส่วนในปีหน้าคาดว่า GDP สามารถขยายตัวได้ประมาณ 4.6% โดยภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับยังแรงบวกเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตที่ 3.0% ต่ำกว่าตัวเลขซึ่งเคยมองไว้ที่ 3.4% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน ปัจจัยหลักจากมูลค่าการส่งออกทั้งปีที่มีแนวโน้มติดลบตามภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลกที่หดตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนอาจขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ตามแรงกดดันของภาคการส่งออก
นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังมีแนวโน้มชะลอลงโดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 4/2566 จากปัญหากระบวนการการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าส่งผลให้การเบิกจ่ายอาจต่ำกว่าปกติ แม้กระนั้นก็ตาม การปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ยังเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ทั้งยังมีปัจจัยบวกจาก นโยบาย Free Visa ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะแตะระดับ 29.5 ล้านคนในปี 2566
นอกจากนี้ การฟื้นไปสู่ภาวะปกติมากขึ้นของภาคท่องเที่ยวยังหนุนการจ้างงานและการใช้จ่ายภาคครัวเรือนให้มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อไปในระยะข้างหน้า
ส่วนในปี 2567 ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ประมาณ 4.6% โดยภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวสู่ภาวะปกติมากขึ้น อันจะช่วยหนุนการจ้างงานและการใช้จ่ายภาคครัวเรือนให้มีแนวโน้มขยายตัวต่อไป ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นแรงบวกเพิ่มเติมที่สนับสนุนให้ GDP สามารถเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูง จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะจีนที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ ทั้งยังมีความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ภาวะเงินตึงตัวจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศหลักในปีหน้าซึ่งจะอยู่ในระดับสูงต่อไป ถือเป็นความเสี่ยงด้านต่ำที่ลดทอนกำลังซื้อในตลาดโลกและการส่งออกของไทย ขณะที่ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน
Krungthai COMPASS ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการวางแผนรับมือโดยพยายามรักษาฐานลูกค้าด้วยการรักษาจุดแข็งและความแตกต่างออกไปจากคู่แข่ง รวมทั้งการแสวงหาตลาดใหม่หรือกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ
ส่วนมาตรการภาครัฐโดยเฉพาะนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลที่คาดว่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า อาจเป็นแรงสนับสนุนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน ซึ่งผู้ประอบการควรวางแผนเตรียมพร้อมเพื่อใช้โอกาสดังกล่าวในการขยายตลาดภายในประเทศ เพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่อไป
ขณะเดียวกันภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล รวมถึงการปรับใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่อาจกลายเป็นระบบนิเวศน์ทางการเงินและการค้าอิเล็กทรอนิกส์อีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญต่อไปในอนาคต