นักวิชาการ แทงสวน “ก้าวไกล” ได้เก้าอี้ ประธานสภา แต่ชื่อนายกฯ เป็น “พีระพันธุ์”
“ดร.ธนพร-ดร.สติธร” สองนักวิชาการ แทงสวน ประเด็นการเมืองร้อน “ก้าวไกล” ได้ประธานสภา แต่ชื่อนายกฯ จะเป็น “พีระพันธุ์” เลขาฯ “บิ๊กตู่” โกยเสียง สว.หนุนได้มากที่สุด
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย แสดงความเห็นต่อประเด็นร้อนทางการเมือง ถึงการจัดตั้งรัฐบาล และ การแย่งชิงเก้าอี้ประธานสภาของพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย ในขณะนี้ มองว่า ไม่ได้หมายถึงตกลงกันไม่ได้ แต่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยได้ข้อสรุปแล้วว่าจะถอยเรื่องประธานสภาให้กับพรรคก้าวไกล
ซึ่งตนเชื่อว่า เป็นเพราะฝั่งพรรคเพื่อไทยได้ข้อสรุปแล้วว่าจะถอยตำแหน่งนี้ให้พรรคก้าวไกล ตามกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นข่าวจริง เพราะสื่อหลายสำนักลงข่าวไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าต้องมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ และแม้แกนนำทั้ง 2 พรรคจะออกมาบอกว่าให้ติดตามข่าวทางการ แต่ก็ไม่มีใครออกมาปฏิเสธว่าเป็นเฟกนิวส์
โดย รศ.ดร.ธนพร พูดอย่างมั่นใจว่า แม้ประธานสภาจะเป็นของก้าวไกล แต่นายกรัฐมนตรีจะชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ วิเคราะห์จากท่าทีของนายพีระพันธุ์ที่ประกาศสละตำแหน่ง ส.ส. เพื่ออยู่เคียงข้าง “พล.อ.ประยุทธ์” จนนาทีสุดท้าย ซึ่งจะมีนักการเมืองซักกี่คนสละตำแหน่ง ส.ส. ที่มีวาระ 4 ปี ไปทำหน้าที่เลขานายกที่อยู่ต่ออีกไม่กี่วัน ประกอบกับมี “แหล่งข่าว” บอกว่าอีกขั้วเตรียมเสนอชื่อ “พีระพันธุ์” แข่งกับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ในวันโหวตเลือกนายก ซึ่งจะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. มากพอเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า ทำไมจึงเป็นชื่อนายพีระพันธุ์ ไม่เป็น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ตามที่บางคนวิเคราะห์ รศ.ดร.ธนพร บอกว่า ต้องย้อนดูที่มาของ ส.ว. ซึ่งแม้จะมีทั้งฝั่ง “ลุงตู่” และฝั่ง “ลุงป้อม” ก็จริง แต่สัดส่วนฝั่ง “ลุงตู่” มีกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหากเป็นชื่อนายพีระพันธุ์ ย่อมได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.มากกว่า ส่วนที่พูดกันเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อย ย้ำว่า ตอนโหวตนายกยังไม่ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรี ยังมีเวลาและมีกระบวนการรวบรวมเสียง ส.ส. ให้เกิน 251 ได้ภายหลัง
ขณะที่ โมเดลขั้วรัฐบาลเดิมเสนออีกชื่อแข่งกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีนักวิชาการอีกคนคาดการณ์ไว้แบบนั้นเช่นกัน คือ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ที่มองว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นแบบ “ม้วนเดียวจบ” คือขั้วรัฐบาลเดิมจะเสนออีกชื่อให้โหวตแข่งกับ “พิธา” และวัดกันครั้งเดียว ไม่ยืดเยื้อ และไม่มีโอกาสเสนอชื่อนายพิธาเป็นครั้งที่ 2 อยู่ที่ว่าจะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.มากพอหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะ ส.ว.ที่ออกมาประกาศตามหน้าสื่อว่าจะไม่โหวตให้ ก็มีอยู่ไม่กี่คน
เมื่อถามว่าขั้วรัฐบาลเดิมจะเสนอใคร ดร.สติธร มองว่า มีความเป็นไปได้ 4 คน คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน พรรคเพื่อไทย ซึ่งหากเป็นชื่อสุดท้าย ก็จะเป็นการวัดใจ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ว่าจะแตกแถวมาโหวตเลือกแคนดิเดตของพรรคตัวเองหรือไม่
โดย ดร.สติธร มั่นใจว่า หากเป็นนายกจากขั้วรัฐบาลเดิม ก็จะไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะวันโหวตอาจจะมีเสียง ส.ส. ไม่เกินกึ่งหนึ่งก็จริง แต่เมื่อฟอร์มทีม ครม. เสร็จสิ้น จะเห็นภาพรัฐบาลครบและพบว่าไม่ใช่เสียงข้างน้อย
ส่วนตำแหน่งประธานสภา ดร.สติธร มองว่า ทั้ง 2 พรรคจะหารือกันจนได้ข้อสรุปก่อนโหวตเลือก ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันจะได้ตำแหน่งนี้ในนาทีสุดท้าย ก็คาดว่าพรรคก้าวไกลจะยอมถอยให้ เพื่อมัดพรรคเพื่อไทยให้รักษา MOU ของทั้ง 8 พรรค และสนับสนุน “พิธา” เป็นนายก ซึ่งทางเลือกของพรรคเพื่อไทยมี 2 ทาง คือจับมือกับพรรคก้าวไกลต่อไป หรือ “เปลี่ยนขั้ว” ซึ่งถ้าจะเปลี่ยนขั้วให้ไม่เจ็บหนัก สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเดินไปข้างหน้า จะต้องมาจากข้อตกลงร่วมกัน ต้องไม่ฉีก MOU ของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะจะเป็นผู้ร้ายในสายตาประชาชน.