“ชลน่าน” ชี้ “ปิยบุตร” ล็อกเก้าอี้ประธานสภาเป็นการกดดัน อัดยับ “ศิธา” ควรมีมารยาท
“ชลน่าน” มอง “ปิยบุตร” โพสต์ล็อกเก้าอี้ประธานสภาเป็นการกดดัน ปิดช่องไม่ให้มีการพูดคุย ย้ำยังไม่ได้ถกเรื่องนี้ ปัดวิจารณ์ “ก้าวไกล” วางตัวคนมีพรรษาน้อยนั่งเก้าอี้ อัด “ศิธา” ควรมีมารยาท เป็นคนร่วมร่างเอ็มโอยู ไม่ควรลุกถาม
วันที่ 24 พ.ค.2566 เวลา 09.50 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์เฟซบุ๊กส่งสัญญาณว่า ตำแหน่งประธานสภาควรเป็นของพรรคก้าวไกล ว่าตนคิดว่าเป็นการการแสดงความคิดเห็นของคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงตำแหน่งต่างๆ แต่เป็นการในลักษณะที่ออกมาในมุมที่เรามองขณะนี้ ในบรรยากาศการจะทำงานร่วมกันทั้งในการเจรจาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายแรกคือการเลือกนายกรัฐมนตรี เสมือนมีการกดดันและปิดช่องไม่ให้มีการพูดคุยกัน ซึ่งดูแล้วไม่ใช่แง่บวกเท่าไหร่ ทั้งนี้ตำแหน่งประธานสภาฯ อยู่ที่การตกลงและพูดคุยกันด้วยความเหมาะสม โดยในแต่ละสมัยก็ไม่เหมือนกัน
ต่อข้อถามว่า มองอย่างไรกับกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่ามีชื่อตัวบุคคลที่พรรคก้าวไกล วางตัวไว้ให้เป็นประธานสภาฯ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีพรรษาการทำงานน้อย นพ.ชลน่าน กล่าวว่าตนไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ เพราะจะเป็นมุมที่ไม่เหมาะสม เชื่อว่าบุคคลที่ได้รับเลือกจากประชาชน มาเขาย่อมมีความรู้ ความสามารถ มีวุฒิภาวะ ส่วนจะทำงานเหมาะสมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการปฎิบัติงานของเขา
เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรค พท. มีบุคคลที่มีความเหมาะสมใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่อยู่มา 22 ปี มีบุคลากรที่ผ่านการทำงานมาเยอะ เราจะไม่บอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่เรามีบุคลากรพร้อม ย้ำว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องตำแหน่งต่างๆ เพราะต้องรอพรรคแกนนำเป็นผู้นัดหมาย เราจะไปกดดันเขาไม่ได้
นพ.ชลน่านยังกล่าวถึง กรณีน.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงกรณีที่ นพ.ชลน่านให้สัมภาษณ์ผ่านรายการมีเรื่องคุยว่า เสียมารยาทในการถามคำถามบนเวทีเซ็นเอ็มโอยูนั้น ว่าถ้าเจตนารมณ์เช่นนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก ตนไม่ได้โกรธแค้นอะไร ในวันที่เราแถลงข่าวตนพยายามไม่ตอบโต้อะไร เพียงแต่ตนมองว่าน.ต.ศิธาควรมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ควรไปถามคำถามตรงนั้น สิ่งที่ตนต้องตำหนิเพราะน.ต.ศิธาคือผู้ที่อยู่ในวงที่ร่วมร่างเอ็มโออยู่ด้วยกัน อยู่ในคณะทำงานพรรค ทสท. และเขามีส่วนในการเสนอแก้ไขและปรับปรุงตัวร่างเอ็มโออยู่เยอะมาก ฉะนั้น อะไรที่พูดในวงปรึกษาหารือก็ควรจะพูดว่าคุณเป็นคนใน ถ้าเป็นสื่อมวลชนถามตนก็ยินดีและพร้อมที่จะตอบ แต่ลักษณะการถามเช่นนี้จากคนในก็ยากที่จะประเมินวัตถุประสงค์
“ผมขอเพียงว่าให้เรามีมารยาทต่อกัน แต่หากเขาเป็นคนภายนอกแม้จะอยู่ในพรรคไทยสร้างไทย ที่ไม่ได้อยู่ในวงร่างเอ็มโออยู่ด้วยกัน ผมจะไม่ตำหนิเขาเลย เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะถาม แต่นี่คุณเป็นคนร่างและพิจารณาเอ็มโออยู่ด้วยกัน แล้วการที่คุณไปถามเช่นนั้นคืออะไร ซึ่งคำถามนี้ไม่ได้เป็นคำถามเชิงบวก เรากำลังมุ่งจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เอ็มโออยู่ที่เราเขียนก็ชัดเจน”
กรณีที่ น.ต.ศิธา ยังระบุว่า ตนไปพูดลับหลัง นั่งรับประทานอาหารและดื่มร่วมกันทำไมไม่พูด ด้วยความสัจจริง งานเลี้ยงเขาจัดอย่างเป็นทางการ และจัดโต๊ะให้นั่งตามลำดับ ตนนั่งข้างซ้ายของนายพิธา ส่วนน.ต.ศิธานั่งฝั่งขวาหักไปอีกประมาณ 5-6 เก้าอี้ ตั้งแต่ตนกระซิบตำหนิว่า เรื่องนี้ไม่ควรพูดและถาม เมื่อลงมาแล้วตนได้ไปตบบ่าและให้กำลังใจน.ต.ศิธา เพราะรู้สึกว่าอาจจะตำหนิเขามากเกินไป แต่การที่มาใส่ร้ายว่า โดนไปรับบรีฟ นี่เป็นเรื่องใส่ร้าย ถ้าคุณยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ คิดว่าการทำงานร่วมกับตนคงลำบาก คุณต้องพูดความจริง ถ้าคุณเป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน ตนขอชี้แจงข้อเท็จจริง จะไม่ไปว่าอะไร แต่ในส่วนที่บอกว่ากินดื่มชนแก้วนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตนเลิกดื่มนานแล้ว ทางแกนนำเข้าชนแก้วแค่เป็นพิธี หากจะดราม่าเกินไปไม่ดี ตนพร้อมให้อภัยกับทุกคน และไม่เคยโกรธใครอยู่แล้วแค่ขอให้พูดความจริง อะไรที่ทำแล้วไม่เหมาะไม่ควร แค่ขอโทษกันก็จบ อย่าไปสร้างเรื่อง พอจะหมายถึงการทำงานร่วมกันจะไม่ราบรื่น เรื่องเล็กอย่าไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่.
นพ.ชลน่าน ยังกล่างถึงกรณีพรรคก้าวไกลระบุว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรง 450 บาทได้ทันทีว่า ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะยังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงนโยบาย สังเกตได้จากเอ็มโอยูว่าพรรค พท. ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนโยบาย ในมุมของเราอะไรที่อยู่ในเอ็มโอยูแล้วไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ของการจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี เราขอเอาออก เช่น ข้อ 1 และข้อ 2 ที่เราขอสงวนสิทธิ์ หากมีอะไรไปกระทบต่อการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเราขอสงวนสิทธิ์ เมื่อเขาไปปรับแก้เราก็ไม่ว่าอะไร.