ไทยออยล์ ตั้งงบลงทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปี เล็งรุกตลาด เวียตนาม อินโดฯ และ อินเดีย
บ.ไทยออยล์ ฯ เตรียมลงทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน5ปี ตั้งเป้า พัฒนาโครงการพลังงานสะอาด พร้อมขยายตลาด รุก เวียตนาม อินโดนีเซีย และ อินเดีย
วันที่ 8 มี.ค. 2566 นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2566 – 2570) ไว้ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็น1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้ในการรีไฟแนนซ์หุ้นกู้และเงินกู้ที่บริษัทถืออยู่มีอยู่ 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนในช่วง 3 ปี ( 2566-2568) โดยแบ่งเป็น 50% ในการเดินหน้าพัฒนาในโครงการพลังงานสะอาดใหม่ ๆ รวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 10 เมกะวัตต์แต่ไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ (SPP) และอีก 270 ล้านเหรียญสหรัฐ จะลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมี ขยายโรงงานแห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าจะสามารถเริ่มขยายได้ในช่วงกลางปีนี้ หรือช่วงสิ้นปี ขณะเดียวกันยังแบ่งเงินไว้อีก 220 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้ปรับปรุงและพัฒนาโครงการเดิมที่มีอยู่ รวมถึงลงทุนในสตาร์ทอัพ
สำหรับเป้าหมายหลักในปีนี้ จะเป็นการเร่งดำเนินโครงการสำคัญตามแผนกลยุทธ์ เช่น โครงการพลังงานสะอาด (CFP) ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดไปต่างประเทศในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย พร้อมทั้งเร่งศึกษาในการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าเพื่อเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง และแสวงหาโอกาสเข้าสู่ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น ธุรกิจสารเคมีที่ใช้เพื่อการยับยั้งและกำจัดเชื้อโรค รวมถึงสารลดแรงตึงผิวที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งบริษัทยังได้ปรับเป้าหมาย ธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ ในปี 2030 สัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงอยู่ที่ 40% ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี 30% ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ๆ 25% และธุรกิจไฟฟ้า 5% เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ปีนี้บริษัทยอมรับว่ารายได้จะปรับตัวลงเหลือประมาณ 4 แสนล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 5.3 แสนล้านบาท เป็นผลมาจากค่าการกลั่น GRM สิงคโปร์กลับมาสู่ระดับปกติ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 7-8 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่อยู่ที่ 6-8 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ 10.7 เหรียญ/บาร์เรล ประกอบกับคาดการณ์ทิศทางราคาน้ำมันดิบครึ่งแรกของปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 80-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีแรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูงอยู่”นายบัณฑิต กล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดน้ำมันในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน โดยความต้องการใช้น้ำมันทุกผลิตภัณฑ์ในช่วงเดือน ม.ค. 2566 โตขึ้น 19% และน้ำมันอากาศยาน โตขึ้น 100% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการท่องเที่ยวฟื้นตัวทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั้งปีโต 4-5% และน้ำมันเจ็ตโต 50-60% ส่วนปิโตรเคมียังถือว่าปีนี้เป็นปีท้าทาย เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่จากจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และเวียดนามเข้ามาในตลาดมากกว่าความต้องการใช้ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศจีน กดดันมาร์จิ้นปิโตรเคมี.