ดัชนีราคาส่งออก–นำเข้า พ.ย. 68 ยังขยายตัว รับต้นทุนเทคโนโลยีสูง–สงครามการค้าผ่อนคลาย

สนค. เผยดัชนีราคาส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2568 ขยายตัว 1.1% และดัชนีราคานำเข้าเพิ่ม 3.8% ตามต้นทุนวัตถุดิบอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีที่สูงขึ้น สอดรับอุปสงค์ AI–Data Center ขณะเตือนความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และเงินบาทแข็งค่าอาจกดดันระยะต่อไป

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนพฤศจิกายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ตามต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะจากต้นทุนโลหะสำคัญ รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ผ่อนคลายชั่วคราว ซึ่งสอดคล้องกับการนำเข้าของไทยที่ขยายตัวจากแรงกดดันในห่วงโซ่อุปทานของวัตถุดิบ สำหรับใช้ผลิตเพื่อส่งออก อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ดัชนีราคาส่งออก เดือนพฤศจิกายน 2568 เท่ากับ 111.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวร้อยละ 1.1 (YoY) ตามความต้องการของตลาดหลักในหลายกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง และส่งผลให้หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 2.2 ได้แก่ ทองคำ ตามทิศทางราคาทองคำตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการทำงานของ AI และ Data Center ที่ขยายตัว และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามทิศทางราคาที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ประกอบกับความต้องการของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นและการขยายตัวของเมือง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.7 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ตามต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น สำหรับเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาขยายตัวตามอุปสงค์ของตลาดต่างประเทศ และกระแสใส่ใจสุขภาพ ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 9.7 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน และการคาดการณ์ภาวะราคาน้ำมันตลาดทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 4.1 ได้แก่ ข้าว ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่ง และความต้องการชะลอลงในบางประเทศ สำหรับยางพารา และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ตามปริมาณผลผลิตในหลายประเทศที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น

ดัชนีราคานำเข้า เดือนพฤศจิกายน 2568 เท่ากับ 116.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวร้อยละ 3.8 (YoY) สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกและการผลิตภายในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 7.8 ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ตามทิศทางราคาตลาดโลกของโลหะสำคัญเพิ่มขึ้น และอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการสินค้าจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มขึ้น หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 6.6 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเครื่องประดับอัญมณี ตามความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.2 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ ตามการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการที่ยังอยู่ในระดับสูง และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.4 ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และส่วนประกอบและอุปกรณ์จักรยานยนต์ ตามความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์เพื่อรองรับการผลิตในประเทศ และส่งออก ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 8.4 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปทานที่ยังอยู่ในระดับสูง และความต้องการที่ชะลอลง

นายนันทพงษ์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนธันวาคม 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องตลอดปี 2568 จากคำสั่งซื้อในช่วงปลายปีของบางตลาด และความต้องการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อรองรับการผลิตสำหรับส่งออกในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1) ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 2) สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก ตามการขยายตัวของ AI และ Data Center รวมถึงวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นช่วงขาขึ้น และ 3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่ม ยังเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และ 5) การแข็งค่าของเงินบาท.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password