DBD ชี้เป้า 10 ธุรกิจดาวรุ่งปี ’69 ดิจิทัล–ไลฟ์สไตล์–สุขภาพ นำเศรษฐกิจไทย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจปี 2568 พบเศรษฐกิจไทยปี 2569 ยังมีแรงส่งจาก 3 กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง 10 ประเภท ครอบคลุมดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ และสุขภาพ รับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน และสังคมผู้สูงอายุ ชี้เป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการและนักลงทุนในระยะต่อไป

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า(DBD) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลและผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจในปี 2568 พบว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในปี 2569 ยังมีแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล รองรับสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยจัดอันดับ 3 กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง (10 ประเภทธุรกิจ) ที่พร้อมจะเติบโตในปี 2569 ได้ ดังนี้

 กลุ่มแรกคือ กลุ่มธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตมากขึ้น ประกอบไปด้วย 4 ประเภทธุรกิจหลัก ดังนี้

 1) ธุรกิจค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต หรือ e-Commerce ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,702 ราย ลดลง 269 ราย คิดเป็น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย. 67 จัดตั้ง 1,971 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ มีมูลค่า 7,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,524 ล้านบาท คิดเป็น 169% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จากตัวเลขจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ที่อาจชะลอตัวลง แต่พบว่าเงินลงทุนกลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สะท้อนการเข้ามาของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูง และการขยายตัวของ Social Commerce และ Live Streaming อย่างต่อเนื่อง

 2) ธุรกิจบริการดิจิทัล แบ่งเป็น 4 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การสร้างแม่ข่าย (Hosting) การบริการเป็นตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketplace) เว็บท่า (Web Portal) และการบริหารจัดการและประมวลผลข้อมูล โดยธุรกิจในกลุ่มนี้มีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมาก สะท้อนบทบาทโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เฟื่องฟู โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 318 ราย เพิ่มขึ้น 117 ราย คิดเป็น 58.21% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 201 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนมีมูลค่า 3,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,096 ล้านบาท คิดเป็น 38.88% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

 3) อุตสาหกรรมการผลิตส่วนประกอบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตตัวเก็บประจุและตัวต้านทานสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยธุรกิจนี้เป็นผู้ผลิตสำคัญรองรับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีประเภทยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบสื่อสาร 5G/6G และอุปกรณ์ IoT ขนาดเล็กที่มีอัตราเติบโตสูง โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 178 ราย ลดลง 19 ราย คิดเป็น 9.64% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 197 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 7,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,417 ล้านบาท คิดเป็น 145.18% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

 4) ธุรกิจการเงินและการลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธนาคารจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยได้พัฒนาบริการสู่ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา หรือ Virtual Bank ซึ่งในปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 2 ราย ทุนจดทะเบียนสูงถึง 550 ล้านบาท และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,186,622 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.21% จากปี 2566

กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มไลฟ์สไตล์ เป็นธุรกิจตอบโจทย์วิถีชีวิต ความชอบ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เน้นประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก และตัวตนของลูกค้าประกอบไปด้วย 5 ประเภทธุรกิจหลัก ดังนี้

 1) ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกเครื่องสำอาง เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจโดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการดูแลสุขภาพและความงาม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้นผ่านการเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์ และ Social Commerce ที่กำลังขยายตัว โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,457 ราย เพิ่มขึ้น 246 ราย คิดเป็น 20.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 1,211 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364 ล้านบาท คิดเป็น 19.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 195,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24,768 ล้านบาท คิดเป็น 14.5% เมื่อเทียบกับปี 2566

 2) ธุรกิจออกแบบตกแต่งภายใน ผลิตภัณฑ์ไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ กิจกรรมออกแบบและตกแต่งภายใน การผลิตแผ่นไม้บางและผลิตภัณฑ์ไม้ และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ธุรกิจนี้อยู่ในช่วงปรับตัวให้การผลิตสินค้าเน้นที่การออกแบบมากขึ้นสอดรับความต้องการของลูกค้า อย่างไรก็ดี ธุรกิจฯ ยังมีความท้าทายจากความผันผวนในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของไทย ในทางกลับกันภาพรวมการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยในปี 2568 ยังขยายตัวได้ที่ 9.3% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้า (Front-loading) ของคู่ค้าเพื่อสต็อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 555 ราย เพิ่มขึ้น 54 ราย คิดเป็น 10.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 501 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112 ล้านบาท คิดเป็น 13.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 144,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,981 ล้านบาท คิดเป็น 14.2% เมื่อเทียบกับปี 2566

 3) ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง แบ่งเป็น 2 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ การผลิตอาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง และร้านขายปลีกสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว ส่งผลให้ความต้องการสินค้าระดับพรีเมียมขยายตัวสูงขึ้น โดยปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 214 ราย เพิ่มขึ้น 33 ราย คิดเป็น 18.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 181 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 392 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127 ล้านบาท คิดเป็น 48% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 101,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,555 ล้านบาท คิดเป็น 14.2% เมื่อเทียบกับปี 2566

 4) ธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ ผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มให้พลังงานสูง และเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์ ธุรกิจเครื่องดื่มฯ ปัจจุบันกลายเป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสนใจต่อสินค้าสุขภาพ และการเติบโตของธุรกิจที่พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมเฉพาะทาง โดยปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 153 ราย ลดลง 73 ราย คิดเป็น 32.30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 226 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 11,321.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,790 ล้านบาท คิดเป็น 21.28 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 ทุนจัดตั้ง 532 ล้านบาท) แม้ตัวเลขการจัดตั้งใหม่จะลดลง แต่มูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกว่า 135.67 เท่า และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 105,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,032 ล้านบาท คิดเป็น 3.97% เมื่อเทียบกับปี 2566

 5) ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ เป็นธุรกิจที่ได้รับแรงส่งจากนโยบาย Soft Power ของไทยที่ผลักดันคอนเทนต์สู่ตลาดโลก โดยเฉพาะซีรีส์วาย (Boys’ Love/Girl’s Love) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผ่านการส่งออกลิขสิทธิ์และกิจกรรมแฟนมีตติ้ง ในปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 138 ราย ลดลง 1 ราย คิดเป็น 0.7% จากช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย. 2567 จัดตั้ง 139 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 189 ล้านบาท ลดลง 204 ล้านบาท คิดเป็น 51.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แม้รายได้รวมจะทรงตัวแต่ความสามารถในการทำกำไรกลับพุ่งทะยาน อย่างโดดเด่น โดยปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 13,411 ล้านบาท ลดลง 188 ล้านบาท คิดเป็น 1.4% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่กำไรสุทธิปี 2567 สูงถึง 474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 238 ล้านบาท คิดเป็น 100.3% (กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 236 ล้านบาท)

และสุดท้ายกลุ่มด้านสุขภาพ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานพยาบาลและเภสัชภัณฑ์ แบ่งเป็น 3 ประเภทธุรกิจย่อย ได้แก่ 1) การค้าส่ง/ค้าปลีกสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และเวชภัณฑ์ 2) โรงพยาบาล และ 3) โรงพยาบาลเฉพาะทาง เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก ควบคู่ไปกับการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นคาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายรวมของผู้สูงอายุในปี 2572 จะพุ่งแตะระดับ 2.2 ล้านล้านบาท มีปัจจัยสำคัญจากความต้องการในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความมั่งคั่งสูง รวมถึงการปรับตัวใช้เทคโนโลยี (Caretech) เช่น AI และ IoT เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและมาตรฐานบริการให้เทียบเท่าสากล ดึงดูดกลุ่มลูกค้าต่างชาติและรองรับการเป็น Retirement Destination ในปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,648 ราย เพิ่มขึ้น 179 ราย คิดเป็น 12.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.67 จัดตั้ง 1,469 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 3,480 ล้านบาท ลดลง 2,818 ล้านบาท คิดเป็น 44.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,103,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,937 ล้านบาท คิดเป็น 6.9% เมื่อเทียบกับปี 2566

 กรมฯ เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจดาวรุ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวเข้าสู่การใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนสำหรับใช้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้ทันกระแส และทราบถึงแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต” อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password