ไทยบุก! ตลาดยูเออี ดัน ‘มันสำปะหลัง’ สู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร–กระดาษ คาดเห็นผลภายใน 6 ด.

ไทยเดินหน้าบุกตลาดตะวันออกกลาง หลังกรมการค้าต่างประเทศนำคณะเจรจายูเออี เปิดโอกาส “มันสำปะหลัง–แป้งมัน” สู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมกระดาษ ด้านเอกชนยูเออีแสดงความสนใจทดลองใช้จริงหลายราย คาดเห็นผลดีภายใน 6 เดือน เปิดประตูสู่ตลาดอ่าวอาหรับ ลดความเสี่ยงตลาดจีน–ยุโรปซบเซา

โอกาสของมันสำปะหลังไทยในตลาดตะวันออกกลาง โดยเฉพาะ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นำ คณะผู้แทนภาครัฐและเอกชน บุกขยายตลาดผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทย ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 19–21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
แม้การเดินทางครั้งนี้จะกินเวลาเพียง 3 วัน และยังไม่มีคำสั่งซื้อแบบเร่งด่วนติดมือ เหมือนที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเคยสั่งซื้อกว่า 20,000 ตันทันที แต่ก็มีสัญญาณตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจของยูเออี สะท้อนโอกาสเชิงพาณิชย์ที่ “จับต้องได้” และมีแนวโน้มเกิดขึ้นภายในครึ่งปีข้างหน้า

คณะผู้แทนไทย ซึ่งประกอบด้วย ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทยกว่า 10 ราย ได้เข้าพบบริษัทชั้นนำด้านอาหารสัตว์ในยูเออี ได้แก่ IFFCO Animal Nutrition (IAN), Aldahra และ Al Ain Farms ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของประเทศ พร้อมเชิญ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีร่วมให้ข้อมูลด้านโภชนาการ เพื่อชี้ให้เห็นว่า มันสำปะหลังสามารถทดแทนวัตถุดิบเดิมของโรงงานอาหารสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านคุณค่าทางอาหาร ราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า และความเสถียรของปริมาณวัตถุดิบไทย

ข้อมูลเชิงวิชาการนี้ ทำให้หลายบริษัทแสดงความสนใจนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อทดสอบการใช้จริงในสูตรอาหารสัตว์ และเตรียมเจรจารายละเอียดกับผู้ส่งออกไทยต่อไป
คณะผู้แทนไทย ยังได้เข้าพบ Ittihad Paper Mill (IPM) ผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ของยูเออี ซึ่งมีความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังแปรรูปในกระบวนการเคลือบกระดาษและบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์เศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืน IPM ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
พร้อมเตรียม หารือด้านคุณสมบัติสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตในระยะต่อไป ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสใหม่ที่แป้งมันสำปะหลังของไทยสามารถก้าวเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

นางอารดา ระบุว่า ช่วงผลผลิตมันสำปะหลังไทยจะออกสู่ตลาดมากในเดือนธันวาคม–มีนาคม ทำให้ราคามีความเสี่ยงตกต่ำ การขยายตลาดใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น และตลาดยูเออีถือเป็นโอกาสสำคัญ เพราะประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านอาหาร ราคาที่แข่งขันได้ และคุณภาพที่เชื่อถือได้ ขณะเดียวกันมันสำปะหลังไทยถูกพัฒนาให้มีโพรงสร้างโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการที่สามารถทดแทนข้าวโพดในอาหารสัตว์ได้อย่างดี หากไทยเจาะตลาดยูเออีสำเร็จ จะเป็น “ประตูบานใหญ่สู่ตลาดอ่าวอาหรับ” ทั้งภูมิภาค

ทั้งนี้ บริษัทที่คณะผู้แทนไทยเข้าพบ ได้แสดงความสนใจสูงมาก หลังได้รับข้อมูลคุณภาพและศักยภาพของสินค้าไทย หลายบริษัทติดต่อผู้ประกอบการทันที และเชิญเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพิ่มเติมในดูไบ พร้อมกับย้ำว่า มันสำปะหลังไทยไม่เพียงมีความสามารถทดแทนวัตถุดิบเดิม แต่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตของหลายโรงงานในยูเออีได้จริง แม้จะต้องใช้เวลาในการทดสอบสูตรผลิตภัณฑ์ โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่า จะเห็นผลรูปธรรมภายใน 6 เดือน เช่นเดียวกับกรณีซาอุดีอาระเบียที่เดิมคาดว่าต้องใช้เวลา 6–12 เดือน แต่กลับมีการสั่งซื้อ 20,000 ตันในเวลาไม่นานหลังการเจรจา

ปัจจุบัน ยูเออีซื้อสินค้ามันสำปะหลังไทยโดยตรงในปริมาณที่น้อยมาก ส่วนใหญ่ซื้อผ่านเทรดเดอร์อินเดียและกระจายสินค้าต่อไปยังประเทศอื่น แต่เมื่ออินเดียเริ่มผลิตเอง ไทยจำเป็นต้องขยายตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่เสี่ยงหดตัว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยยังไม่คุ้นชินตลาดยูเออีมากนัก ทำให้ต้องอาศัยการผลักดันจากภาครัฐควบคู่กับความร่วมมือของเอกชน เพื่อต่อยอดโอกาสในตลาดขนาดใหญ่ที่มีความต้องการสูง ทั้งด้านอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
ด้าน ตัวเลขการส่งออกไทยในปี 2567 ไทยส่งออกมันสำปะหลังทุกชนิดรวม 6.52 ล้านตัน มูลค่า 3,146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2568 ส่งออกแล้ว 6.91 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 35% แต่มีมูลค่าลดลง 6% ตามภาวะราคาตลาดโลกและเงินบาทแข็งค่า ส่วน แป้งมันสำปะหลังส่งออกปี 2567 อยู่ที่ 1.06 ล้านตัน มูลค่า 948 ล้านดอลลาร์ และใน 9 เดือนแรกปี 2568 ส่งออก 0.8 ล้านตัน มูลค่า 660 ล้านดอลลาร์ แนวโน้มทั้งปีคาดว่าปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านตัน แต่มูลค่ารวมอาจลดลงเล็กน้อย

ส่วน นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยูเออีเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทยในตะวันออกกลาง มีสัดส่วนถึง 34.17% ของการส่งออกในภูมิภาคนี้ และมีมูลค่าการค้ารวมสูงถึง 16,078 ล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 6–7% ต่อปี ทั้งด้านการค้า การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว และภาคบริการ ทำให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค วัตถุดิบการผลิต และสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง จนไทยยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก ทั้งสินค้าเกษตร อาหาร กระดาษ บรรจุภัณฑ์ ผลไม้สด อัญมณี เครื่องประดับ ไปจนถึงของตกแต่งบ้าน
ผอ.ส่งเสริมการค้าในต่างประเทศฯ กล่าวว่า ยูเออีแม้มีประชากรไม่มาก แต่มีชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาทำงานและท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอาหารซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย รวมถึงร้านอาหารไทยกว่า 100 แห่งในดูไบที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ทั้งนี้ ภาพรวมทั้งหมดได้สะท้อนว่า “โอกาสของมันสำปะหลังไทยในยูเออีมาถึงแล้ว” และหากไทยเดินเกมเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างจริงจัง ตลาดยูเออีและตลาดอ่าวอาหรับทั้งภูมิภาคจะกลายเป็นตลาดใหม่ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดหลัก และสร้างความมั่นคงด้านราคามันสำปะหลังไทยในระยะยาวได้อย่างแน่นอน.






