ไทยแนะอาเซียน ร่วมออกแบบระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ เน้นแบบเปิด ‘ครอบคลุม – ยืดหยุ่น’

“ศุภจี“ ประชุม “รมต. เศรษฐกิจ-ต่างประเทศอาเซียน” ร่วมกำหนดบทบาทด้านเศรษฐกิจ และการเมืองของภูมิภาค รับมือภูมิรัฐศาสตร์ ชี้! ถือโอกาสนี้ร่วมกันออกแบบระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ เน้นเศรษฐกิจแบบเปิด คำนึงทุกภาคส่วน “ครอบคลุมและยืดหยุ่น” ต่อการปรับตัวเร็ว รองรับทุกความเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เข้าร่วมการประชุม “รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน” ร่วมกับ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ และคณะ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อร่วมกำหนดบทบาทและทิศทางของอาเซียนในด้านเศรษฐกิจและการเมืองความมั่นคงให้ทันกับบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

นางศุภจี กล่าวว่า การประชุมร่วมของเสาเศรษฐกิจและความมั่นคงในครั้งนี้ จัดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศต่างๆ กำลังรับมือกับความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ของโลก โดยในด้านเศรษฐกิจจะต้องรับมือกับแรงกดดันที่เกิดขึ้น ซึ่งการประชุมร่วมครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและแสดงถึงการสอดประสานกันในการกำหนดทิศทางของสองเสาหลักอาเซียน ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์การรวมกลุ่มภูมิภาค

ทั้งนี้ ท่ามกลางภาวะแรงกดดันจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นโอกาสของภูมิภาคที่จะได้ร่วมกันออกแบบระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ ซึ่งจะ เน้นเศรษฐกิจแบบเปิด คำนึงถึงทุกภาคส่วนอย่างครอบคลุม และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยไทยเน้นย้ำ การรวมกลุ่มของภูมิภาคที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและเสริมแกร่งการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน ซึ่ง เสาเศรษฐกิจได้อัพเกรดความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ATIGA Upgrade) และ เร่งเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน หรือ ดีฟ่า (DEFA) เพื่อรองรับประเด็นการค้าใหม่ สร้างระบบนิเวศรองรับการค้าดิจิทัล และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้มากขึ้น
ตลอดจน ยกระดับ FTA กับคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน และอินเดีย รวมถึง การประชุมสุดยอดผู้นำ RCEP ที่จะมีขึ้นในวันต่อไปจะย้ำถึงบทบาทความเป็น “ผู้นำ” ของอาเซียนด้านการค้าเสรีและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของอาเซียนในการเสริมสร้างภูมิภาคนิยมให้เป็นรากฐานของระบบพหุภาคีที่ยึดมั่นในกติกา
“การกำหนดทิศทางในด้านการค้า จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติและได้รับผลโดยตรงจาก นโยบายและมาตรการทางการค้า และจะช่วยสะท้อนปัญหา อุปสรรค และเสนอแนะภาครัฐในการปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจจริงได้ดีที่สุด” นางศุภจี กล่าวทิ้งท้าย.






