พาณิชย์ชี้! Q3/68 จัดตั้งธุรกิจโตดี – ทุนนอกแห่ลงทุนรอบ 9 ด. พุ่ง 88% – ชี้! ‘ญี่ปุ่น-สิงคโปร์-จีน’ ขนเงินเข้ามากสุด เหตุมั่นใจเศรษฐกิจไทย! 

“พูนพงษ์” เผย! ภาพรวมธุรกิจไทย ก.ย. 2568 เติบโตต่อเนื่อง เหตุจัดตั้งใหม่ 8,156 ราย เพิ่มขึ้น 6.74% ดันจัดตั้งใหม่ไตรมาส 3 พุ่ง 2.35 หมื่นราย บอกถึงการขยับตัวขึ้นของเศรษฐกิจไทย ด้าน 9 ด.แรก พบธุรกิจจัดตั้งใหม่  6.73 หมื่นราย ทุนจดทะเบียนกว่า 2.14 แสนล้านบาท ระบุ! ต่างชาติตบเท้าเข้ามาลงทุนในไทยรวม 770 ราย เงินลงทุนกว่า 2.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 88% จากปี 2567 โดยมี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน นำเงินมาลงทุนสูงสุด ตอกย้ำ! ไทยคือจุดหมายการลงทุนของภูมิภาค

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกันยายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,156 ราย เพิ่มขึ้น 515 ราย (6.74%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (7,641 ราย) และ เพิ่มขึ้น 289 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (7,867 ราย) ขณะที่ ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 19,867 ล้านบาท ลดลง 3,322 ล้านบาท (-14.32%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (23,189 ล้านบาท) และ ลดลง 2,181 ล้านบาท (-9.89%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (22,049 ล้านบาท)

สำหรับ ภาพรวมการจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วงไตรมาส 3/2568 (กรกฎาคม-กันยายน 2568) มีจำนวนรวม 23,507 ราย เพิ่มขึ้น 3,492 ราย (17.45%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (20,015 ราย) และเพิ่มขึ้น 204 ราย (0.88%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (23,303 ราย) มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 65,074 ล้านบาท ลดลง 4,146 ล้านบาท (-5.99%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (69,220 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้น 1,671 ล้านบาท (2.64%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3  ของปี 2567 (63,403 ล้านบาท) ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงขึ้นใกล้เคียงไตรมาส 1 ซึ่งโดยปกติแล้วแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่จะสูงที่สุดในไตรมาส 1 และลดลงในไตรมาสถัดไปจนถึงไตรมาส 4  ถือว่ามีการขยับตัวของภาคธุรกิจในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ส่วน การจัดตั้งใหม่ช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 67,345 ราย ลดลง 2,341 ราย (-3.36%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (69,686 ราย) ขณะที่ ทุนจดทะเบียน 214,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,733 ล้านบาท (2.75%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (208,481 ล้านบาท)

ทั้งนี้ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกันยายน 2568 มีจำนวน 2,150 ราย เพิ่มขึ้น 490 ราย (29.52%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (1,660 ราย) และลดลง 104 ราย (-4.61%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (2,254 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 5,556 ล้านบาท ลดลง 6,777 ล้านบาท (-54.95%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (12,334 ล้านบาท) และลดลง 11,056 ล้านบาท (-66.55%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (16,612 ล้านบาท) 

ด้าน การจดทะเบียนเลิกช่วงไตรมาส 3/2568 (กรกฎาคม-กันยายน 2568) มีจำนวน 5,635 ราย เพิ่มขึ้น 2,498 ราย (79.63%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (3,137 ราย) แต่ลดลง 572 ราย (-9.22%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (6,207 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกรวมกว่า 38,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,361 ล้านบาท (104%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (18,685 ล้านบาท) ขณะที่ มีจำนวนทุนจดทะเบียนเลิกลดลง 1,211 ล้านบาท (-3.08%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (39,257 ล้านบาท) จากสถิติการจดทะเบียนเลิกย้อนหลัง 5 ปีพบว่า ปี 2568 มีจำนวนการจดเลิกลดลงจากปี 2566 และ 2567 และยังอยู่ในสถานการณ์ปกติ

โดยการจดทะเบียนเลิกช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 11,879 ราย ลดลง 367 ราย (-3%) เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2567 (12,246 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 68,590 ล้านบาท ลดลง 47,415 ล้านบาท (-40.87%) เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2567 (116,005 ล้านบาท) โดยคิดเป็นอัตราการจัดตั้งใหม่ต่อการจดเลิกธุรกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ต่อ 1 ถือเป็นค่าเฉลี่ยตลอด 5 ปี ย้อนหลัง

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,032,174 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.28 ล้านล้านบาท โดยมี นิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 976,857 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.94 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 774,201 ราย หรือ 79.26% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.17 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 201,156 ราย หรือ 20.59% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และ บริษัทมหาชนจำกัด 1,500 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.33 ล้านล้านบาท  สำหรับ นิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุด มีจำนวน 530,171 ราย ทุนจดทะเบียน 13.28 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 319,843 ราย ทุน 2.61 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 126,843 ราย ทุน 7.05 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.27%, 32.74% และ 12.99% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ ตามลำดับ

ส่วนการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) ในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 770 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการ ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 201 ราย และ การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 569 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 253,116 ล้านบาท

โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 134 ราย (21%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (636 ราย) และ มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 118,311 ล้านบาท (88%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (134,805 ล้านบาท) ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 142 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 76,397 ล้านบาท 2) สหรัฐอเมริกา 116 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,368 ล้านบาท 3) สิงคโปร์ 108 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 86,550 ล้านบาท 4) จีน 99 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 21,925 ล้านบาท 5) ฮ่องกง 82 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 12,624 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 223 ราย คิดเป็น 29% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 51,252 ล้านบาท

ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 83 ราย เป็นการลงทุนผ่าน   ช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 63 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 27,580 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น  สิงคโปร์ และจีน ตามลำดับ

การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 222 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 15 ราย จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 7% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 82,264 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็น นักลงทุนจากประเทศจีน 55 ราย เงินลงทุน 15,665 ล้านบาท ญี่ปุ่น 52 ราย เงินลงทุน 28,919 ล้านบาท สิงคโปร์ 26 ราย เงินลงทุน 15,853 ล้านบาท และ ประเทศอื่นๆ 89 ราย เงินลงทุน 21,827 ล้านบาท.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password