‘ปิด – สร้าง – สู้’…บีบ!!??

ต่อให้ยุทธศาสตร์ “ปิด – สร้าง – สู้” ของฝั่งกองทัพ จะถูกมองว่าเป็นการ “บีบ!” ให้ฝ่ายการเมืองต้องดำเนินการตามความต้องการของ “ผู้นำเหล่าทัพ” เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ทว่าสิ่งนี้…ย่อมต้องถูกใจคนไทยอย่างที่สุดเช่นกัน!

หากต้องมี ปฏิสัมพันธ์กับ ‘ชาติพันธุ์’ ลูกหลานพระยาละแวก! นับจากนี้ไป ฝ่ายไทย…คงมิอาจใช้หนทางปกติธรรมดา??? เหตุเพราะทุกฝ่ายต่างรู้กันดี…สันดาน “เขมร – กัมพูชา” หาความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อใจ และความจริงใจได้ยากนัก!!!

ขนาด “หมดสภาพ!” ทั้งในเวทีการทหาร การทูต และการเมืองระหว่างประเทศ จู่ๆ นางควน สุดารี ประธานรัฐสภากัมพูชา ยังคิดจะใช้เวทีประชุม สมาคมรัฐสภาอาเซียน (AIPA) ที่ ประเทศออสเตรเลีย ยื่นเสนอแนวทางแก้ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา

แม้ ฝ่ายไทย…นายรังสิมันต์ โรม จะยื่นตีตกไปแล้ว แต่กับข่าวที่ถูกนำเสนอในกัมพูชา มิต่างจาก…ภาพความสำเร็จของ ประธานรัฐสภากัมพูชา ที่มีเหนือฝ่ายไทย

หลอกกันจน…คนเขมร “จมกาว”…งงและหลงเชื่อไปทั่วประเทศ!!!

เช่นกัน! กับ เวทีที่ใหญ่กว่า อย่าง…การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะช่วงระหว่าง 25-26 กันยายนนี้

หาก “ผู้นำไทย” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางไปชี้แจงข้อเท็จจริง! ด้วยตัวเอง โอกาสที่ “ผู้นำเขมร” จะเปิดปฏิบัติการ “ใส่ร้าย-ป้ายสี” กับฝ่ายไทย! ก็ย่อมมีสูงมาก…ถึงสูงมากที่สุด!!!

จำเป็นอย่างยิ่งที่ นายอนุทิน จำต้องเดินทางไปชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อให้…บรรดา “ผู้นำ” และนานาชาติสมาชิก UNGA ได้เข้าใจถึงกรณีปัญหาข้อผิดพลาด ความขัดแย้งขัด ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างตรงไปตรงมา

และเป็น…คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่แสดงความเห็นทำนอง…ไปได้!!!

แม้รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เนื่องจากเข้าข่ายเป็น…ข้อยกเว้น! กรณีเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญ อีกทั้ง เวทีนี้ ก็ไม่ใช่เวทีที่เปิดให้ นายอนุทิน ได้ทำแค่เพียงแค่การกล่าวสุนทรพจน์

คำถามตามมา? เหตุผลลึกกว่านั้น…ที่ทำให้ นายอนุทิน ต้องเดินทางไปยังเวที UNGA มีแค่นี้…น่ะหรือ???

คำตอบคือ…อาจมีมากกว่านั้น!!!

ลองย้อนกลับไปดูข่าวเก่าๆ ทั้งปมที่ นายอนุทิน เคยให้สัมภาษณ์ในทำนอง…รัฐบาลพร้อมจะมอบอำนาจให้กองทัพตัดสินใจดำเนินการใดๆ ภายใต้กฎอัยการศึก และประกาศจะ “ปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา” ต่อไป และหากจะ เพิ่มความเข้มข้นได้ ก็พร้อมจะทำ

หันดูทางฝั่ง กองทัพเอง…ระหว่าง การประชุม “ผู้บัญชาการเหล่าทัพ” เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ประชุมฯก็ได้ออกเป็นมติการประชุมฯที่ชัดเจน กับการประกาศยุ ทธศาสตร์เชิงปฏิบัติการ ภายใต้คำจำกัดความ…

“ปิด (ด่าน) – สร้าง (รั้ว) – สู้ (ตามกฎ)”

สิ่งนี้…สะท้อนจุดยืนชัดเจน! ที่กองทัพไทยแสดงออกต่อสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนกับกัมพูชา เป็นการส่งสัญญาณว่า…กองทัพไทยพร้อมจะปกป้องอธิปไตย ด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด! ภายในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมใช้อำนาจทางทหารในสถานการณ์ที่เห็นว่า…มันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

คำว่า “ปิด” ในยุทธศาสตร์ หมายถึง การคงสถานะการปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนจนกว่า สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ หรือจนกว่ากัมพูชา…จะยุติการกระทำที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อไทย

การตัดสินใจเช่นนี้ มาจากการประเมินความเสี่ยงที่เน้นว่า…ความมั่นคงและชีวิตผู้คน ต้องมาก่อนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ!!!

แม้ว่า…การปิดจะกระทบต่อการค้าชายแดนและวิถีชีวิตของประชาชนริมชายแดน แต่จากมุมมองของกองทัพ การเปิดด่านในภาวะที่ยังมีการลอบเข้ามาหรือการโจมตีในพื้นที่ จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียและการละเมิดอธิปไตย

ยุทธศาสตร์นี้ จึงถือเป็นการใช้แรงกดดันเชิงนโยบายและเชิงกลยุทธ์ เพื่อลดโอกาสการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อไทย

ส่วน “สร้าง” ได้ถูกตีความทั้งเชิงกายภาพและเชิงยุทธศาสตร์ ในเชิงกายภาพ คือ การวางโครงสร้างแนวป้องกัน เช่น รั้วชายแดน ทางเดินยุทธวิธี และจุดตรวจที่เสริมศักยภาพในการเฝ้าตรวจและตอบโต้ อีกทั้งยังครอบคลุมการติดตั้งระบบเฝ้าระวัง เช่น โดรน ระบบต่อต้านโดรน และเซ็นเซอร์ตรวจการณ์

การมีสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลักลอบและการบุกรุกโดยไม่ชัดเจน

ส่วน ในเชิงยุทธศาสตร์ “สร้าง” ยังหมายถึง การพัฒนากำลังพล การฝึกซ้อมร่วมระหว่างหน่วย การพัฒนาขีดความสามารถด้านข่าวกรองและการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การตอบโต้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน “สู้” ไม่ได้หมายถึง การใช้อำนาจอย่างไม่จำกัด แต่เป็นการยืนยันการใช้กำลังตามกฎการใช้กำลังสากล (Rules of Engagement) เมื่อมีการกระทำที่เป็น Hostile Act หรือเมื่อปรากฏเจตนาเป็น Hostile Intent เช่น การสอดแนม การเตรียมการโจมตี หรือการบุกรุกที่ชัดเจน

การยึดหลัก ROE ช่วยให้การตอบโต้ยืนอยู่บนฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและการป้องกันตนเอง

ขณะเดียวกัน สิ่งนี้…ยังเป็นเครื่องมือสื่อสารให้ทั้ง ฝ่ายภายในและต่างประเทศ เห็นว่า…การใช้กำลัง เป็นการกระทำที่มีเหตุผลและเป็นไปตามหลักนิติรัฐ

“จุดยืน!” ของกองทัพ…ภายใต้กรอบนี้ ได้มุ่งเน้นเรื่องการปกป้องอธิปไตยอย่างสุดความสามารถและการลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียของผู้บริสุทธิ์

การมอบอำนาจให้ “ผู้บัญชาการทหารบก” ควบคุมการปิด-เปิดด่าน และการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ที่กองทัพดูแล ถือเป็นการชี้ชัดว่า…บทบาทการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์จะไปอยู่กับหน่วยงานทหารอย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น!

นโยบายนี้…ยังจะสะท้อนทั้งความเชื่อมั่นในบทบาทของกองทัพ และความตั้งใจที่จะไม่ปล่อยให้การเมือง มากระทบต่อการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของชาติ

การประกาศยุทธศาสตร์ “ปิด – สร้าง – สู้” จึงย่อมก่อผลกระทบหลากหลายมิติ

ผลกระทบเชิงทันที! คือ การชะงักของการค้าชายแดน ส่งผลต่อรายได้ของชุมชนริมชายแดนและกิจการที่พึ่งพาการขนส่งข้ามพรมแดน การปิดด่านยังอาจสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมที่ใช้เส้นทางดังกล่าว เช่น โรงงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน ในระยะกลางถึงยาว

การปิดนี้ อาจผลักดันให้ภาคธุรกิจและนักลงทุน ค้นหาทางเลือกในการขนส่งหรือย้ายแหล่งการผลิต ลดการลงทุนในพื้นที่ชายแดน และส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนั้นช้าลง

ด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การดำเนินการที่เข้มงวด! จะเพิ่มความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา และอาจทำให้เกิดมาตรการตอบโต้ใน “ระดับการทูต” หรือ “การร้องเรียน” ต่อองค์กรระหว่างประเทศ

หากกรอบการปฏิบัติ…ไม่สามารถสื่อสารและอธิบายเหตุผลในเชิงนโยบายได้ชัดเจนต่อประชาคมระหว่างประเทศ ประเทศไทยก็อาจจะพบกับแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนหรือการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนชายแดนได้

นอกจากนี้ ยังอาจกระทบต่อความร่วมมือในระดับอาเซียน หากปัญหาถูกมองว่า…เป็นปัญหาข้ามพรมแดน ที่จะต้องใช้การประสานงานร่วมกัน

ในเชิงความมั่นคงภายในประเทศ การยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการโจมตีหรือการลักลอบ แต่ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การเพิ่มกรอบอำนาจพิเศษของหน่วยงานความมั่นคง การจำกัดเสรีภาพของประชาชนในพื้นที่ชายแดน และความรู้สึกไม่ไว้วางใจของชุมชนต่อรัฐ

หากการดำเนินการ…ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือการสื่อสารที่โปร่งใส ก็อาจจะเกิดแรงต้านในระดับพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่ความซับซ้อนทางสังคมตามมาได้ เช่นกัน

ดังนั้น เพื่อให้…ยุทธศาสตร์ดังกล่าว เกิดความชัดเจนและบริหารผลกระทบได้ กองทัพจึงได้เสนอแนวทางการดำเนินงานที่มีกรอบเวลาและขั้นตอน ดังนี้

ระยะเร่งด่วน (0–3 เดือน) ให้คงสถานะปิดด่าน เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และติดตั้งระบบตรวจการณ์ฉับพลันในจุดเสี่ยง พร้อมตั้ง ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ระยะกลาง (3–12 เดือน) ลงมือก่อสร้างแนวป้องกันในพื้นที่ที่ตกลงกันได้ พัฒนาเครือข่ายข่าวกรองระดับภูมิภาค เพิ่มการฝึกซ้อมร่วมระหว่างหน่วย และจัดทำมาตรการเยียวยาช่วงชั่วคราวแก่ประชาชนริมชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เช่น เงินช่วยเหลือชั่วคราวและแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเชิงพื้นที่

และ ระยะยาว (12–36 เดือน) ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานชายแดนให้ยั่งยืน พัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อสร้างกลไกป้องกันร่วม และประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบ

มาตรการด้านการสื่อสาร ถือว่า...มีบทบาทสำคัญอย่างที่สุด! กองทัพจึงเสนอให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของนโยบายต่อประชาชนและชุมชนชายแดนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมให้ หน่วยงานพลเรือนที่เกี่ยวข้องร่วมออกแบบมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ

การมีช่องทางรับฟังความเห็นจากชุมชนท้องถิ่นและการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม จะช่วยลดช่องโหว่ด้านความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจ

สำหรับ เสียงสะท้อนจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะความเห็นของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรณีนี้ ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของแนวคิดนี้

และเป็น นายอนุทิน ที่ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า…จะมอบอำนาจเต็มที่ให้กองทัพตัดสินใจเรื่องการปิดด่านและการสร้างรั้วชายแดน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการทำงานของทหารอย่างเต็มกำลัง

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองจะทำหน้าที่ในเชิงการทูต โดยตั้งเงื่อนไขให้ กัมพูชา…ต้องยอมรับข้อกำหนดของไทยก่อน จึงจะสามารถเปิดเจรจาได้

นายกฯอนุทิน ยังได้กล่าวถึงความต้องการให้ กองทัพสามารถ “ปักธงไทย” ในพื้นที่ที่เป็นดินแดนไทยอย่างชัดเจน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจิตใจแก่คนไทยทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังย้ำว่า หากฝ่ายกัมพูชายังคงใช้วิธีการก่อกวนหรือใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ไทยจะไม่เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น

ท่าทีเหล่านี้…สะท้อนการประสานบทบาทระหว่างกองทัพและรัฐบาล โดย กองทัพถือบทบาทเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคง ส่วน รัฐบาลเน้นการทูต

แต่ทั้ง 2 ฝ่าย…ต่างยืนอยู่บนจุดยืนร่วมกัน! คือการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของไทย!!!

ล่าสุด ที่ นายอนุทิน ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพบประชาชนและขึ้นเวทีปราศรัย “ไฮไลท์” จากปากของเขา นั่นคือ…“ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทย ไม่ใช่นายกฯ ของประเทศเพื่อนบ้าน”

และประกาศชัดว่า “ไม่กล้าเปิดด่าน เพราะประชาชนชายแดนเอง ไม่ต้องการ หากชาวบ้านยังไม่กล้าเปิดด่าน “หนู” (หมายถึงตัวนายกฯ เอง) จะกล้าได้อย่างไร”

คำพูดดังกล่าวสะท้อนว่า…ฝ่ายบริหารยังคงยึดโยงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก พร้อมยืนยันว่า…จะไม่มีการเปิดด่านชายแดน จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขของไทยและสถานการณ์มีความชัดเจน

คำประกาศข้างต้น จึงเป็นการเสริมท่าทีแข็งกร้าว! ของ ยุทธศาสตร์ “ปิด สร้าง สู้” ที่กองทัพกำลังดำเนินอยู่ในอีกมิติหนึ่ง

เมื่อนำไปรวมกับประเด็นก่อนหน้านี้ ที่ นายกฯอนุทิน จำต้องเดินทางไปร่วมประชุม UNGA เนื่องจากถือเป็นกรณีเร่งด่วนด้านความมั่นคงแห่งชาติ

การเคลื่อนไหวนี้ จึงสะท้อนให้เห็นภาพรวมว่า…ไทยกำลังใช้ “ยุทธศาสตร์ 2 ขา” ในการรับมือปัญหาชายแดน ทั้ง…ด้านความมั่นคงเชิงปฏิบัติการที่กองทัพเป็นแกนหลัก และ…ด้านการทูตที่นายกรัฐมนตรีนำไปชี้แจงต่อเวทีโลก

เป้าหมายก็เพื่อ…รักษาภาพลักษณ์และความชอบธรรมของไทยในสายตานานาชาติ!!!

ความเชื่อมโยงนี้ ทำให้ยุทธศาสตร์ “ปิด – สร้าง – สู้” ไม่ได้จำกัดเพียงในเชิงทหาร แต่ยังต่อยอดสู่การสื่อสารและการป้องกันเชิงการทูตที่มีผลกระทบต่อสถานะของประเทศในระดับโลกด้วย

แม้ กองทัพและรัฐบาล จะยืนยันว่า…การดำเนินการทุกขั้นตอนจะยึดหลักกฎหมายสากลและความชอบธรรมทางนโยบาย

ทว่ายังคงมีความเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ!!!

นักวิชาการบางกลุ่ม เตือนให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน? ขณะที่ นักการเมืองบางฝ่าย เรียกร้องให้มีการถกเถียงในระดับรัฐสภาเพื่อความโปร่งใสและการตรวจสอบ?

หากการดำเนินงาน…ไม่สามารถจัดการผลกระทบเชิงสังคมและเศรษฐกิจได้ ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของไทย ก็อาจต้องแลกมาด้วยความเสียหายต่อความสัมพันธ์และความเป็นอยู่ของประชาชนชายแดน

ยุทธศาสตร์ “ปิด – สร้าง – สู้” จึงเป็นภาพสะท้อนของการเลือกทางที่ไม่ง่ายสักเท่าใด?

ระหว่าง…การปกป้องอธิปไตยกับการรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ชายแดน ความชัดเจนของกรอบเวลา มาตรการเยียวยา และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดจะเป็น “ตัวชี้วัดสำคัญ” ว่า…

จุดยืนนี้ จะนำไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืน หรือเป็นเพียงการตอบโต้ชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อคนชายแดนในระยะยาว

แต่ที่แน่ๆ การที่ นายกฯอนุทิน และรัฐบาลของเขา พร้อมจะมอบอำนาจให้กองทัพจัดการปัญหานี้ และดำเนินนโยบายทางการทูตเชื่อมประสานกัน

หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า…ยุทธศาสตร์ “ปิด – สร้าง – สู้” นำไปสู่การ “บีบ!!!” ให้ใครต้องทำอะไรหรือไม่? อย่างไร?

แต่ถึงจะใช่!…งานนี้ก็ถูกใจคนไทยอย่างที่สุดเช่นกัน!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password