ฝืนสู่ล่ม!!??

กับข้อสังเกต! ปม “รัฐบาลอนุทิน” จ่อตั้ง 2 รมต. “คมนาคม – ยุติธรรม” ซึ่งอาจเกี่ยวพันกับ 2 คดีสำคัญ? “ที่ดินเขากระโดง – ฮั้ว สว.” ย่อมสะเทือนความเชื่อมั่น! ทั้งต่อคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ หากพวกเขายังคงฝืนความรู้สึกของสังคมไทย พวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง?
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินสายทาบทาม “บุคคลสำคัญ” เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน…โควตา “คนนอก”
ทว่า รัฐบาลของเขา…ยังคงต้องเผชิญกับ “ไฟต์บังคับ” แต่งตั้งคนจากพรรคการเมืองเข้าร่วม ครม.
แม้ในใจลึกๆ อาจจะยังกังวลใจอยู่กับภาพลักษณ์และเสียงชื่อของบุคคลเหล่านั้น ก็ตาม…
แน่นอนว่า…สถานการณ์ที่ นายอนุทิน และรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำ ภายใต้การสนับสนุนของ พรรคประชาชน ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ…กระแสข่าวการจัดวางตัวบุคคลที่จะเข้ามานั่งเป็น “รมว.ยุติธรรม” และ “รมว.คมนาคม”
สิ่งนี้…ก่อให้เกิดคำถามต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง!!!
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ได้ออกมาเตือนและเรียกร้องให้ พรรคประชาชน แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น! โดยเฉพาะ เมื่อมีความพยายามที่จะผลักดันบุคคลที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า…อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “คดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา” และกรณี “การถือครองที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์”
หากเรื่องดังกล่าวเป็นจริง! ผลที่รัฐบาลต้องเผชิญนั้น ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ หากยังจะนำพามาซึ่งวิกฤติหลายด้านที่รออยู่ข้างหน้า??? อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!!!
ประการแรก คือ วิกฤติความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เพราะตำแหน่ง “รมว.ยุติธรรม” มีอำนาจในการกำกับดูแล กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งกำลังดำเนินการสอบสวนคดีสำคัญอย่าง “คดีฮั้วเลือก ส.ว.” ที่มี “ผู้ถูกกล่าวหา” นับร้อยราย
และส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับพรรคแกนหลักของรัฐบาลชุดนี้
หาก บุคคลที่เคยมีสายสัมพันธ์กับ “เครือข่าย” ที่ถูกตรวจสอบ…ได้เข้ามามีบทบาทโดยตรง ย่อมทำให้ สังคมไทย ต้องตั้งคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า…
กระบวนการสอบสวนจะยังคงความเป็นกลางได้มากน้อยเพียงใด?
ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อาจเกิดความกดดันในการทำงาน และอาจทำให้การสืบสวนสอบสวน “ถูกดึงยืด” ออกไปโดยไม่มีข้อยุติ
ความไม่แน่ชัดเช่นนี้…ไม่เพียงบั่นทอนความศรัทธาของประชาชน แต่ยังทำให้การบังคับใช้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใครก็ไม่อาจไว้วางใจ
ในเวลาเดียวกัน กระทรวงคมนาคม ซึ่งมี อำนาจครอบคลุมการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็กำลังถูกจับตามองอย่างเข้มข้น! เพราะมีส่วนเกี่ยวพันโดยตรงกับที่ ดินเขากระโดง ที่ ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาแล้วว่า…
พื้นที่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของการรถไฟฯ แต่ยังมีการออกโฉนดครอบครองโดยเอกชนและหน่วยงานบางส่วน
การที่ “รมว.คมนาคม” เป็นผู้มีความใกล้ชิดกับพื้นที่และผู้มีส่วนได้เสีย จะเข้ามาดูแลโดยตรง ย่อมก่อให้เกิดความกังขาในความโปร่งใส??? เพราะอาจถูกมองว่า…เป็นการจัดวางคนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจหรือพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง
ความไม่โปร่งใสในการแก้ปัญหาที่ดิน! จะยิ่ง ซ้ำเติม! ความไม่ไว้วางใจที่สังคมมีอยู่แล้ว และอาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างประชาชนผู้ครอบครองที่ดินกับรัฐทวีความรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ผลกระทบข้างต้น ยังอาจขยายไปสู่ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะทั้ง…กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงคมนาคม ถือเป็น “หน่วยงานหลัก” ที่มีบทบาทต่อ…โครงการเมกะโปรเจกต์ของประเทศ
โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น…รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ สนามบิน หรือ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ล้วนแต่ต้องการความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสาธารณชน
หากรัฐบาลจัดวางบุคคลที่ถูกตั้งข้อกังขาเข้ามา การลงทุนจากต่างประเทศอาจชะลอตัวเพราะขาดความมั่นใจในธรรมาภิบาลและการคุ้มครองผลประโยชน์ของภาคเอกชน
ขณะเดียวกัน งบประมาณมหาศาลที่ทุ่มลงไปในโครงการเหล่านี้ ก็จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ว่า…ได้ถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องหรือไม่? อย่างไร?
ผลที่ตามมาคือ…บรรยากาศการลงทุนที่เปราะบาง และมีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจไทยซบเซามากกว่าที่คาดการณ์ไว้!!!
มิติทางการเมือง เอง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิด…แรงกระเพื่อมครั้งใหญ่???
การประกาศในบันทึกข้อตกลง MOA ว่า…“รัฐบาลอนุทิน” จะยุบสภา! ภายใน 4 เดือน ได้สร้างเงื่อนไขที่สังคมไทยต่างจับตามอง หาก “รัฐบาลอนุทิน” ยังคงดื้อดึง! จัดวางบุคคลที่ถูกตั้งคำถามเข้ามา ความเสื่อมศรัทธาของประชาชนจะเร่งให้กระบวนการยุบสภามีแรงกดดันเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม
ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ พรรคเพื่อไทย ย่อมใช้โอกาสนี้ เป็นเครื่องมือโจมตีในสภาฯ และอาจขยายไปสู่การเคลื่อนไหวบนท้องถนน
ขณะที่เสียงสนับสนุนรัฐบาล ก็จะถูกสั่นคลอน เพราะประชาชนบางส่วนที่เคยเชื่อมั่นว่า MOA จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก อาจหันหลังให้ด้วยความผิดหวัง ความไม่มั่นคงของรัฐบาลจะทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่การล้มลงก่อนครบกำหนด 4 เดือนด้วยซ้ำ
ด้าน สังคมโดยรวม ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด! คือ การลดลงของศรัทธาประชาชน ต่อการเมืองระบบรัฐสภา เพราะประชาชนจะเห็นว่า…การเปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการเมือง หากยังคงวนเวียนอยู่กับการจัดสรรอำนาจเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง!!!
การแต่งตั้ง…บุคคลที่ถูกตั้งข้อสงสัยเข้ามาคุมกระทรวงสำคัญ จึงเปรียบเสมือน การส่งสัญญาณเตือนว่า การเมืองไทยยังติดหล่มเดิม ๆ
ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการ อาจออกมาเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องความโปร่งใสอย่างจริงจัง การแบ่งขั้วความเห็นของสังคม จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น!!!
เกิดความแตกแยกระหว่างฝ่ายที่เห็นว่า…ควรเดินหน้าตามข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพ กับฝ่ายที่มองว่า…ความถูกต้องและธรรมาภิบาลต้องมาก่อน
เมื่อมองไปในระยะยาว ความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุด คือ การทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศ
หาก “องค์กรอิสระ” ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ เพราะอิทธิพลทางการเมือง ระบบ Check and Balance จะพังทลายลงทันที!!!
สิ่งนี้…อาจเป็น “บรรทัดฐานอันตราย” ที่ฝ่ายการเมืองรุ่นต่อไป จะนำไปใช้ซ้ำอีก
เมื่อการเมืองไม่อาจสร้างความหวังให้กับประชาชนได้ ความเฉยเมยต่อการเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมทางการเมืองก็จะเพิ่มขึ้น สุดท้ายอาจเปิดช่องให้ความขัดแย้งนอกระบบเข้ามาแทนที่ ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศไทยเดินเข้าสู่วงจรความไม่มั่นคงซ้ำซาก
ทั้งหมดนี้ คือ…สิ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญ! หากยังคงยืนยันที่จะจัดวางบุคคลที่สังคมตั้งคำถามเข้ามาคุมกระทรวงยุติธรรมและคมนาคม
ผลลัพธ์ที่ตามมา จะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หากแต่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางกฎหมาย เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“รัฐบาลอนุทิน” อาจมองว่า…การเดินตามแผนที่วางไว้เป็นการรักษาหน้าและรักษาข้อตกลง แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ต้องสูญเสียอาจมีมูลค่ามหาศาลกว่าที่คาดคิด หากการเมืองยังคงเลือกเส้นทางเดิมที่ขาดความโปร่งใสและไม่ฟังเสียงประชาชน
คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ว่า…รัฐบาลจะอยู่ได้ครบ 4 เดือนหรือไม่?
แต่คือ…ประเทศชาติจะสูญเสียโอกาสไปอีกกี่ 10 ปี กับการหมุนวนในวังวนแห่งความไม่ไว้วางใจและความไม่รับผิดชอบของ “ผู้มีอำนาจ” ในบ้านเมืองนี้!!!
เมื่อถึงตรงนั้น คิดหรือว่า…ประชาชนคนไทย ภายใต้การชี้นำและสนับสนุนจากบางพรรคการเมือง? จะยอมจำนน…ปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย นำไปสู่วิกฤตครั้งสำคัญ
แนวคิดทฤษฎี “ฝืนทำนำพาไปสู่ความล่มสลาย” ย่อมต้องเกิดขึ้นตามมาอย่างยากจะหลีกเลี่ยง!!!.