‘ได้-เสีย’ รธน.ใหม่!!??

คนไทยจะได้หรือเสีย??? หากจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ แบบที่จะต้องออกประชามติ 3 ครั้ง เสียทั้งเวลาและงบประมาณแผ่นดิน!!!

การเมืองไทยกลับมาอยู่ในจุดที่คำว่า “รัฐธรรมนูญใหม่” ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระใหญ่ของสังคมอีกครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติสำคัญ 6 ต่อ 1 เสียง ชี้ว่า…การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ต้องผ่านการออกเสียงประชามติถึง 3 ครั้ง

และที่สำคัญ คือ รัฐสภาไม่อาจเปิดทางให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้

การตัดสินครั้งนี้ ถือเป็น…จุดเปลี่ยนที่มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงกังวล ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองว่า…

ประชาชนไทยจะ “ได้” หรือ “เสีย” จากกติกาเช่นนี้มากน้อยเพียงใด?

ในด้านหนึ่ง การที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจ “ริเริ่ม” กระบวนการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ถือเป็นการเปิดประตูสำคัญ นั่นเพราะ…

ความต้องการรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นใหม่ ไม่ใช่การแก้ไขเฉพาะมาตรา แต่เป็นการจัดทำฉบับใหม่ที่มุ่งตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยทั้งระบบ

อย่างไรก็ตาม ประตูที่เปิดมา ก็มาพร้อมกับ เงื่อนไขเข้มงวด นั่นคือ..ประชาชนต้องผ่านประชามติอย่างน้อย 3 ครั้ง

ครั้งแรก ถามว่า…ควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่?

ครั้งที่สอง ถามว่า…รัฐธรรมนูญใหม่นั้นควรมีหลักการและวิธีการอย่างไร?

และ ครั้งที่สาม เมื่อร่างเสร็จแล้ว จึงถามประชาชนอีกครั้งว่า…เห็นชอบหรือไม่?

เงื่อนไขเช่นนี้สะท้อนว่า…ศาลต้องการสร้าง “กำแพงความชอบธรรม” หลายชั้น เพื่อให้กระบวนการมีรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงเกมทางการเมืองของผู้มีอำนาจในสภา

แต่“กำแพงที่สูง” ก็อาจกลายเป็นอุปสรรค หากมองในเชิงปฏิบัติ การทำประชามติแต่ละครั้ง ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลและกินเวลายาวนาน

ทั้ง…การจัดการเลือกตั้ง การรณรงค์ การนับคะแนน และการประกาศผล

เมื่อรวมกันถึง 3 ครั้ง ประเทศไทยอาจต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะได้รัฐธรรมนูญใหม่

หากกระบวนการใดสะดุด! ก็อาจทำให้การเมืองเข้าสู่ภาวะชะงักงัน

ขณะที่งบประมาณที่ใช้ไป อาจกลายเป็นข้อครหาในยามที่เศรษฐกิจประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่ดูเป็น “ความชอบธรรมสูงสุด” อาจกลายเป็น “ต้นทุนสูงสุด” ของประเทศในอีกด้านหนึ่ง

อีกประเด็นที่อาจสร้าง…แรงสั่นสะเทือน! นั่นคือ…ข้อห้ามไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง!!!

ความหมายคือ…การร่างรัฐธรรมนูญยังคงผูกติดกับรัฐสภาและกลไกการเมืองที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น…สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา

ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามตามมาว่า…รัฐธรรมนูญใหม่จะสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนจริง! หรือเป็นเพียงเอกสารที่ตอบสนองต่ออำนาจที่มีอยู่

การไม่ให้ประชาชนได้กำหนด “ผู้ร่าง” โดยตรง อาจลดทอน “ความรู้สึกมีส่วนร่วม” ของคนทั่วไป ทั้งที่รัฐธรรมนูญควรเป็นกติกาสูงสุดที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในการกำหนดอนาคตประเทศร่วมกัน

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่เห็นด้วยกับมติศาล มองว่า…การห้ามไม่ให้ประชาชนเลือก “ผู้ร่าง” โดยตรงคือการป้องกันความวุ่นวาย

เพราะ การเลือกตั้ง “ผู้ร่าง” รัฐธรรมนูญ อาจเปิดช่องให้การเมืองแบ่งขั้วรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจทำให้การร่างรัฐธรรมนูญกลายเป็นสนามเลือกตั้งใหญ่ซ้ำซ้อน

“ผู้ร่าง” อาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นผู้ที่หาเสียงเก่ง

นั่นก็ทำให้ รัฐธรรมนูญใหม่ขาดคุณภาพ

การให้ รัฐสภาทำหน้าที่แทน จึงถูกมองว่าเป็นกลไกที่มั่นคงกว่า แม้อาจไม่เป็นที่พอใจของผู้ที่ต้องการ “ประชาธิปไตยทางตรง” เต็มรูปแบบ ก็ตาม

เมื่อมองในภาพรวม ผลได้และผลเสียของประชาชนจากกระบวนการนี้จึงขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญ

หากมองว่า…ความมั่นคงของระบบและความรอบคอบคือสิ่งที่ควรมาก่อน สิ่งที่ประชาชนจะ “ได้” จากการที่รัฐธรรมนูญใหม่มีรากฐานมั่นคงและยากต่อการโต้แย้ง

แต่ถ้ามองว่า…ความมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชนคือหัวใจสำคัญ ประชาชนก็อาจ “เสีย” โอกาสที่จะกำหนดอนาคตการเมืองด้วยมือตนเองอย่างแท้จริง

เพราะกระบวนการนี้ ยังคงจำกัดบทบาทของพวกเขาให้อยู่เพียงการลงประชามติ ไม่ใช่การเลือกผู้แทนในการร่างกติกาสูงสุด

สุดท้าย การมีรัฐธรรมนูญใหม่ ในแบบที่ ศาลรัฐธรรมนูญวางกรอบไว้สะท้อนภาพการเมืองไทยที่ยังพยายามหาจุดสมดุลระหว่าง “ความชอบธรรมจากประชาชน” และ “การควบคุมเพื่อป้องกันความวุ่นวาย”

แม้จะยัง ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย แต่ก็นับเป็น บททดสอบสำคัญ ที่ว่า…

สังคมไทยพร้อมจะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนจริงหรือยัง!!??

คำตอบสุดท้าย! จึงไม่ใช่เพียงว่า…คนไทยจะได้มี รัฐธรรมนูญใหม่ หรือไม่?

แต่คือการที่ประชาชนได้เรียนรู้ว่า…กติกาสูงสุดนี้ จะทำให้พวกเขาได้หรือเสียอะไร??? ในการใช้ชีวิตทางการเมืองในอนาคต.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password