อิ๊ง – ออก??? (เหอะ!)

ท่ามกลางภาวะ “เสี่ยงสูง – เครดิตต่ำ” ทั้งจากเหตุปะทะในทางการทหาร “ไทย-กัมพูชา” รอบใหม่ และเกมการเมือง! ในท่ามกลาง “เงื้อมมือ” ของศาลรัฐธรรมนูญ โอกาสเดียว? ของ “อิ๊ง – แพทองธาร” คือ ชิงลาออก!!! ก่อนที่บางคำวินิจฉัย??? จะถูกแปะติดหน้าผากไปตลอดชีวิต

นับจาก…วันคลิปหลุด! เสียงสนทนา ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายฮุน เซน ผู้นำจิตวิญญาณของชาวกัมพูชา ถูกนำไปเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ความร้อนแรงทางการเมือง…ก็พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง?

คลิปนั้น…ไม่ได้เป็นเพียงการสื่อสารระหว่าง “ผู้นำสองประเทศ” หากแต่มีประเด็น จากบางถ้อยคำที่ “ถูกตีความ” อย่างรุนแรง! ทั้งในเชิง…

การยอมอ่อนข้อให้ต่างชาติ และการกำหนดให้ กองทัพไทย กลายเป็น “ฝ่ายตรงข้าม”

ยังไม่นับรวม วลีร้อนๆ …“อยากได้อะไรให้บอกมา”

จนสังคมไทยตั้งคำถามตัวโตๆ หาก นายฮุน เซน ไม่สวมบท “หมาป่าเจ้าเล่ห์” นำคลิปมาเผยแพร่แล้ว คนไทย…จะมีโอกาสได้ยินคำพูดในลักษณะนี้ จากปากคนเป็น “ผู้นำประเทศ” ได้หรือไม่???

สิ่งนี้…ได้สร้างผลกระทบทางการเมือง ที่ไม่ใช่แค่…เสียงวิจารณ์บนโซเชียลมีเดีย แต่ลามไปสู่ การร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็น “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติรับคำร้องด้วยเสียง เอกฉันท์ 9 ต่อ 0 และต่อมา มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยคะแนน 7 ต่อ 2

นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดว่า “เส้นทางนายกฯ อิ๊ง” อาจเหลือเวลาไม่มาก??? และนำไปสู่คำถามสำคัญตามมาว่า…

เธอจะ “ยื้อ” รอคำตัดสิน หรือ “ชิงลาออก” เพื่อวางหมากใหม่?

ย้อนกลับไปที่ คลิปเสียง อันเป็น “จุดเริ่มต้น” ของวิกฤตต่างๆ…ทั้งวิกตที่เกิดกับ น.ส.แพทองธาร รัฐบาลของเธอ และพรรคเพื่อไทย และวิกฤตที่กลายเป็นวิกฤตของชาติและความมั่นคงของคนไทยทั้งประเทศ

โดยในคลิปเสียงดังกล่าว มี 2 ประเด็นหลักสำคัญ ที่กลายเป็นชนวนโจมตีเครือข่าย “ชินวัตร”

การเรียก นายฮุน เซน ว่า “Uncle” พร้อมน้ำเสียงเป็นกันเอง “เกินมาตรฐานทางการทูต” นั้น บางกระแสตีความว่าเป็น… “การลดศักดิ์ศรีของชาติ” ในช่วงที่ กองทัพไทย–กัมพูชามีการปะทะกัน

กับประโยคต่อมา… “อยากได้อะไรให้บอกมา” และการระบุว่า…กองทัพไทยเป็น “ฝ่ายตรงข้าม”

2 วลีนี้ ได้ถูกตีความว่า…เป็นการเข้าข้างคู่พิพาท และบั่นทอนความมั่นใจในกองทัพไทย อย่างที่สุด!!!

และหากย้อนกลับไปดูคำวินิจฉัยในอดีต ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็น “ด่านสุดท้าย” ในยามที่บ้านเมืองจำเป็นจะต้องมีทางออกท่ามกลางวิกฤต และได้เคยมีคำวินิจฉัยออกมา ล้วนไม่เป็นคุณกับ เครือข่าย “ชินวัตร” สักเท่าใด?

ปี2550…ยุบพรรคไทยรักไทย (2007)

ปี2551…ยุบพรรคพลังประชาชน (2008)

2557…ปลด! น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม (นายถวิล เปลี่ยนสี)

เช่นกัน ในวันที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติ รับคำร้อง 9–0 ในคดีแพทองธาร และ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ 7–2 จึงถูกมองว่า…เป็น “ธงนำ” ทำลายโอกาสที่ว่า…ศาลฯจะยกฟ้อง!!!

กลับกัน…คำวินิจฉัยที่จะมีออกมาในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ ย่อมน่าจะ “ไม่เป็นคุณ” กับ น.ส.แพทองธาร สักเท่าใด?

การโยนให้…กองทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็น…“ฝ่ายตรงข้าม”

แต่หากเทียบผลงานที่ผ่านมา ระหว่าง…น.ส.แพทองธาร ในบทบาท “นายกรัฐมนตรี” กับ พล.ท.บุญสิน รวมถึง กองทัพไทย ที่ได้ต่อสู้กับทหารกัมพูชา จนได้คืนพื้นที่กว่า 10 จุด ที่เคยถูกทหารกัมพูชาแย่งชิงไป ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว

ผลโพลของนิด้า ก็น่าจะเป็นคำตอบชี้ชัดว่า…สังคมไทย รู้สึกเช่นใด? กับนักการเมืองตระกูลนี้

คนไทยให้ความเชื่อมั่นกับกองทัพเหนือรัฐบาล…อย่างเทียบกันไม่ติด!!!

ที่สำคัญ กับคะแนนนิยมส่วนบุคคลของ น.ส.แพทองธาร ที่ผลโพลชี้ว่า…ดำดิ่งลงต่ำกว่า 10%

นั่นก็หมายความว่า…หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีออกมา แล้วเป็นไปอย่างที่สังคมไทยคาดคิด นั่นคือ…น.ส.แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่ง

สิ่งนี้…ย่อมผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรงและยาวนานกว่าการ “ชิงลงจากเวที” ด้วยตนเอง

มากกว่านั้น คำวินิจฉัยนี้…จะถูก “แปะติดหน้าผาก” ของ น.ส.แพทองธาร ไปตลอดชีวิต!!!

ทั้งวลี… “ไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

ในทางการเมือง…คนที่ติดตามข่าวการเมือง คงคิดไม่ต่างจาก แกนนำพรรคเพื่อไทย แม้กระทั่ง “สทร.” คนนั้น นั่นคือ…โอกาสที่ ศาลรัฐธรรมนูญ จะยกฟ้องในคดีนี้ แทบจะเป็น “ศูนย์”

หมายความว่า…หาก น.ส.แพทองธาร และรัฐบาลของเธอ รวมถึงพรรคเพื่อไทย ยังคงยืนยันจะปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าสู่กระบวนการตุลาการแล้ว

ปลายทางของเรื่องมันจะเป็นอย่างไร?

ไม่แปลก!!!…ที่หลายวันก่อนหน้านี้ จะมีข่าวหลุดออกมาให้ได้ยินในทำนอง…

น.ส.แพทองธาร อาจลางานไปต่างประเทศ ท่ามกลาง กระแสข่าวที่ว่า…เธออาจชิงประกาศลาออก ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องถอดถอนข้างต้น

หากประมวลภาพเหตุการณ์ ตั้งแต่ต้นจนถึงวินาทีนี้ แนวโน้มที่ น.ส.แพทองธาร จะชิงลาออกมีสูงถึงสูงมาก!!!

ด้วยเหตุผลเชิงกลยุทธ์ 4 ประการ…

ประการแรก…เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม  เลี่ยงคำพิพากษาที่จะตราหน้าว่า “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีทางการเมืองตลอดไป

ประการต่อมาหวังคุมเกมส่งต่ออำนาจ การลาออกจะเปิดทางให้ สภาผู้แทนราษฎรโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยพรรคเพื่อไทยสามารถเสนอ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตลำดับที่ 3 ที่ยังมีสถานะ “สะอาด” และอาจได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วม 10 พรรค

ประการที่สามหวังรักษาเสถียรภาพพรรคร่วมรัฐบาล  ลดแรงกดดันจากพันธมิตรที่อาจถอนตัวหากคำตัดสินออกมาเป็นลบ

และ ประการสุดท้าย…สิ่งนี้ จะช่วยส่งสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ  ทำให้ตลาดทุนและนักลงทุน อาจแสดงผลตอบรับเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยลดความไม่แน่นอนในยามนี้ได้เป็นอย่างดี

หาก น.ส.แพทองธาร จะยื้อ! รอให้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ…ย่อมเกิดความเสี่ยงสูง! ที่จะมีตามมา กล่าวคือ…

พรรคเพื่อไทยจะเสียโอกาสในการจัดลำดับการเมืองและดีลกับพรรคร่วม

ภาพลักษณ์เสียหายหนักเพราะถูกประทับตราคำพิพากษา

และอาจ “เปิดช่อง” ให้พรรคฝ่ายค้านหรือขั้วการเมืองอื่น รวมเสียงตั้งนายกฯ จากคนนอก หรือแม้แต่เปลี่ยนขั้วรัฐบาล

บทสรุปของเรื่องนี้ หาก น.ส.แพทองธาร จะชิงประกาศลาออก ย่อมทำให้พรรคเพื่อไทยจะยังพอมีพื้นที่ต่อรองในสภาผู้แทนราษฎรและกับสังคมไทยอยู่บ้าง

ในทางกลับกัน! หาก “อยู่” แล้วแพ้คดี ผลเสียจะลึกและยาวนาน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีแนวโน้มจะมีคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นคุณ ตามมาด้วย นิด้าโพลล์ ที่ชี้ว่าประชาชนเทใจให้กองทัพมากกว่ารัฐบาล

รวมถึง สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงตึงเครียด ส่อว่าจะมีเหตุปะทะรอบใหม่ หลังฝ่ายกัมพูชา ละเมินข้อตกลงฯ มาหลายครั้งหลายหน

ดังนี้น การชิงเหลี่ยม…เดินหมาก เพื่อคุมเกมการเมือง ที่เหลือพื้นที่ไม่มากนัก อาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่พรรคเพื่อไทยจะรักษาฐานอำนาจและลดความเสียหายได้มากที่สุด

นาทีนี้… “อิ๊ง” ออกเถอะนะ!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password