Fake Nobel

ภาพการ “ชเลียแข้ง-ขา” ที่ “ผู้นำกัมพูชา” มีให้กับ “ประธานาธิบดีทรัมป์” ต่อการวาดฝัน…เสนอชื่อให้เข้ารับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เป็นได้แค่ Fake News เนื่องเพราะผลงานที่เกิดขึ้นจริง! หาใช่การหยุดยั้งสงคราม เพราะเบื้องลึก “ตัวการ – คนประสานงาน” หวังผลในเชิงธุริจและผลประโยชน์ของชาติ มากกว่าจะหยุดยั้งสงครามจริงๆ มันจึงเป็นได้แค่… Fake Nobel!!

สหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับการหยุดหยั้งสงครามใน 3 ทวีป

ก่อนหน้านี้…อินเดียปะทะปากีสถาน และ คองโกกับรวันดา

วันก่อน…ไทยปะทะกัมพูชา

เมื่อเร็วๆ นี้…อาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน

นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวตอนหนึ่ง ระหว่างแถลงข่าว พิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพ ระหว่าง…อาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า…

“ในฐานะ ประธานาธิบดี ความปรารถนาสูงสุดของผมคือการนำสันติภาพและเสถียรภาพมาสู่โลก การลงนามข้อตกลงสันติภาพในวันนี้ เกิดขึ้นหลังจากความสำเร็จของข้อตกลงระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาทั้งสองชาติตกลงกันเพื่อยุติความเป็นไปได้ของความขัดแย้งด้านนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่น่ากลัวในเอเชีย รวมถึงในคองโกและรวันดาที่ขัดแย้งกันมาถึง 31 ปี ขณะที่ความขัดแย้งของพวกคุณนานกว่าเขาที่ 35 ปี ซึ่งเราทำให้ทุกอย่างจบลง ผู้คนดีใจมาก เพราะมันเป็นเรื่องยากและร้ายแรงมาก เท่าที่มีข้อมูลมีผู้คนที่ต้องเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์นี้มากถึง 7 ล้านคน”

ก่อนจะย้ำในเวลาต่อมาว่า…

“เมื่อเร็วๆ นี้ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตตามแนวชายแดนแล้ว 2,000 ราย แต่มันเพิ่งเริ่มขึ้น และผมได้คุยกับผู้นำประเทศหนึ่งเกี่ยวกับการค้าว่า ผมจะไม่ลงนามข้อตกลงการค้ากับประเทศของคุณ หากพวกคุณยังคงสู้รบกันต่อไป และก็ได้คุยกับผู้นำอีกประเทศหนึ่งตามมา ด้วยความเป็นผู้นำที่น่าชื่นชมของพวกเขา ไทยและกัมพูชา ก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่าไม่กี่วัน เรายุติสงครามลงได้ พวกเขามีการปะทะกันเป็นครั้งคราวมาก่อนหน้านี้ เหมือนที่พวกคุณก็มีสงครามระหว่างกันแบบยาวนาน ซึ่งเราต้องยุติมัน ผมพบว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นผู้นำที่น่าชื่นชม เพราะถ้าเขาไม่ยอม ผมบอกพวกคุณตรงๆ เลยว่า ผมจะเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้นำที่ห่วยและไม่มีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาเห็นด้วย ดังนั้น ไทยและกัมพูชา เซอร์เบียและโคโซโว พวกเราต่างยุติมันลง และเริ่มต้นใหม่ เพราะเราไม่ชอบสงครามเลย แต่เราต้องการรักษาชีวิตของผู้คน

จากนั้น…นายทรัมป์ ยังได้โพสต์บนโซเชียลมีเดียของเขาอีกว่า…

สองประเทศนี้ทำสงครามกันมานานหลายปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ผู้นำหลายคนพยายามยุติสงคราม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งบัดนี้ ต้องขอบคุณ…”

สิ่งที่ นายทรัมป์ กระทำลงไป…ลึกๆ แล้วเขาต้องอะไร? เชื่อว่า…สังคมโลกต่างรับรู้ดี!!!

คนเป็น “นักธุรกิจ…ย่อมมองแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ”

ส่วน รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เช่นที่….ผู้นำกัมพูชา (นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี) “ชเลียออกนอกหน้า” หวังจะให้ “มูลนิธิโนเบล” (Nobel Foundation) พิจารณามอบดังกล่าวให้กับ…นายทรัมป์

ดูทรงแล้ว…คงเป็นได้แค่เพียง อาการ…ชเลียแข้งขาของ “ผู้นำชาติมหาอำนาจ” เท่านั้น

กระนั้น สื่อใหญ่ทั้งในไทยและโลกใบนี้ ต่างแซว ประธานาธิบดีทรัมป์ ประมาณว่า…สร้างผลงานด้านสันติภาพขนาดนี้…รางวัลโนเบลต้องวิ่งเข้าหาตัวเขาแล้ว!!??

แต่ก็เป็นการนำเสนอข่าวในเชิง “สัพยอก” หรือเป็นแค่…Fake News

เราลองมาวิเคราะห์กัน…ทำไม? การคาดหวังที่จะเสนอชื่อของ ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้ารับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ จึงเป็นได้เพียงแค่… Fake News

หรือพูดให้กระชับคือ…Fake Nobel  

การกล่าวถึง รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ที่แม้จะไม่ได้ออกมากจากปากของ “ผู้นำสหรัฐฯ” โดยตรง แต่สิ่งนี้…ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีการเมืองโลก แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้น! ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมทั้งในเชิงการทูตและความรับรู้ของสาธารณชน

ล่าสุด เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งถูก นายทรัมป์ ยกมาเป็นตัวอย่าง “ผลงานสันติภาพ” ที่เขามีส่วนผลักดันให้ยุติ กลับสร้างคำถามสำคัญ ที่ว่า…

เรื่องราวนี้มีน้ำหนักพอให้พูดถึงรางวัลโนเบลจริงหรือ หรือเป็นเพียง “วาทกรรม” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ในช่วงเวลาหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนในช่วงสั้น ๆ แต่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 2,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก  

ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ถือเป็นปัญหาหลักที่เกี่ยวพันกับพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนอื่น ๆ อย่างไรก็ดี การปะทะส่วนใหญ่กินเวลาสั้นและเกิดขึ้นเป็นระยะ ไม่ได้อยู่ในระดับ “สงครามเต็มรูปแบบ”

กระนั้น ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว นายทรัมป์ กล่าวอ้างว่า เขาได้ใช้การเจรจาและแรงกดดันทางการค้าเพื่อบีบให้ผู้นำไทยและกัมพูชายุติการสู้รบ ก่อนที่ความขัดแย้งจะลุกลาม และชื่นชมทั้งสองผู้นำว่าเป็น “ผู้นำที่น่าชื่นชม” พร้อมโยงเหตุการณ์นี้เข้ากับกรณีสันติภาพในประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย–ปากีสถาน และเซอร์เบีย–โคโซโว

ปัญหา คือ แม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูเป็นการสร้างความหวัง แต่กลับไม่มีข้อมูลสาธารณะที่ชัดเจนว่า… นายทรัมป์มีบทบาทโดยตรงเพียงใดต่อการยุติเหตุปะทะดังกล่าว หรือว่ามันเป็นเพียงการอ้างเครดิตในสถานการณ์ที่ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มยุติการปะทะอยู่แล้ว

การที่ใครสังคน? จะได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ จำเป็นจะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน กล่าวคือ…

จะต้องมอบให้แก่บุคคล หรือองค์กร ที่ได้สร้างผลงานสำคัญต่อการส่งเสริมสันติภาพ ลดความขัดแย้ง และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในระยะยาว ซึ่งคณะกรรมการโนเบลจะพิจารณาจากผลงานที่มีความยั่งยืนและตรวจสอบได้

กรณีไทย–กัมพูชา แม้จะมีการยุติเหตุปะทะในบางครั้ง แต่ก็เป็นเพียงการหยุดยิงชั่วคราว ไม่มีหลักฐานว่านำไปสู่กระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืนเหมือนกรณีประวัติศาสตร์ เช่น ข้อตกลงสันติภาพออสโล หรือการสิ้นสุดอพาร์ไธด์ในแอฟริกาใต้

ดังนั้น หาก “ผู้นำกัมพูชา” ยังคงยืนยันจะเสนอชื่อของ นายทรัมป์ เข้ารับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เพียงเพราะมีส่วนร่วมต่อการหยุดยั้งสงครามหรือเหตุปะใน 3 ภูมิรัฐศาสตร์ข้างต้น ทั้งที่ สิ่งที่ นายทรัมป์ ทำ…ยังไม่ถึงขั้นจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่นี้

ทั้งหมดจึงเป็นได้แค่… Fake Nobel ด้วยเหตุผลสนับสนุน นั่นคือ…

ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ – ไม่มีข้อมูลอิสระที่ยืนยันว่า ทรัมป์มีบทบาทหลักโดยตรงต่อการยุติเหตุปะทะไทย–กัมพูชา

ความขัดแย้งยังคงอยู่ – ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศยังไม่หมดไป การปะทะเป็นระยะยังคงเกิดขึ้น

ใช้เหตุการณ์เพื่อเสริมภาพลักษณ์ส่วนตัว – การอ้างถึงสถานการณ์นี้ในบริบทเดียวกับความสำเร็จสันติภาพระดับโลก อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง

ไม่เข้าเกณฑ์รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ – ไม่มีข้อตกลงสันติภาพถาวร ไม่มีโครงสร้างหรือกระบวนการรองรับในระยะยาว

ลองฟังเสียงจาก นักวิชาการและนักการทูตในเวทีโลก โดยที่…

ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นว่า การยุติความขัดแย้งชายแดนต้องใช้เวลาและการเจรจาในหลายระดับ การหยุดยิงชั่วคราวอาจเป็นเรื่องดี แต่ไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าเป็น “สันติภาพถาวร” หรือผลงานในระดับที่ควรได้รับรางวัลโนเบล

ขณะที่ นักการทูตเกษียณรายหนึ่ง ชี้ว่า “คำพูดของทรัมป์อาจเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ภาพลักษณ์ทางการเมือง มากกว่าจะเป็นการบันทึกข้อเท็จจริง”

จนถึงบรรทัดนี้…จากข้อมูลข่าวสารข้างต้นทั้งหมด มันสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการสื่อสารในโลกการเมืองระหว่างประเทศ ที่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่สามารถจะสร้างภาพลักษณ์ หรือแม้แต่กระแสข่าวที่อาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงได้

การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง!!!

การจะได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ไม่ใช่เรื่องของ “คำพูดสวยงาม” หรือการอ้างผลงานในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง

แต่ต้องมาจากผลงานที่แท้จริง ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับจากประชาคมโลก

กรณี Fake Nobel จึงเป็นเครื่องเตือนใจ ว่า…

 “สันติภาพ” ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อใจคนได้ด้วยวาทกรรมเพียงชั่วคราว!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password