ชูปฏิญญา ‘พาณิชย์-หอการค้าฯ’ ดัน ‘4 ความร่วมมือ’ นำไทยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก!

“หอการค้าไทย” ชง 4 ข้อเสนอฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณา พร้อมเร่ง “เปิดตลาดใหม่ – ลดต้นทุนโลจิสติกส์ – ขยาย FTA – เสริมความมั่นคงการค้าชายแดน – ยกระดับบริการรัฐ–เอกชน” แนะภาครัฐ ควรจัดตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” บูรณาการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มองภาพรวมและแก้ไขปัญหาการค้าที่ซับซ้อนทั่วโลกอย่างเป็นระบบ

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คณะกรรมการ ให้การต้อนรับแสดงความยินดีกับ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ และ นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ โดยได้มีการหารือแนวทางความร่วมมือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้า การลงทุนของประเทศ ณ ห้อง Activity Hall อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายจตุพร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับข้อกังวลของหอการค้าฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องหารือรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรของไทย กระทรวงพาณิชย์จึงต้องดำเนินการในมิติที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นคง

ขณะเดียวกัน โลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์จากทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมถึงกติกาการค้าโลกที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทย กระทรวงพาณิชย์จึงจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการหาตลาดใหม่และการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไทย

สำหรับประเด็น เรื่องการยกเว้นภาษีสินค้าการเกษตรจากสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์จะทำงานร่วมกับหอการค้าในการสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนที่เพียงพอ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตร เช่น ตั้งเป้าลดราคาปุ๋ย พร้อมทั้ง ส่งเสริมโครงการสินค้าธงเขียวสำหรับสินค้าเกษตร และพัฒนาแอปพลิเคชันธงฟ้า เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ต่อไป
“วันนี้ ไม่มีเวลาให้รอช้า การทำงานต้องเร่งรัดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง กระทรวงพาณิชย์พร้อมทำงานเคียงข้างภาคเอกชน โดยเฉพาะหอการค้าไทยซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการสะท้อนปัญหาและให้ข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง การหารือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรับฟังข้อเสนอและนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.พจน์ กล่าวถึง ความร่วมมือระหว่างหอการค้าฯ กับกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมา ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ทำงานใกล้ชิดกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาการส่งออก การจัดงานแสดงสินค้า ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกับข้าราชการระดับสูง ผ่านเวที “กรอ.พาณิชย์” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพูดคุยและกำหนดทิศทางร่วมกัน
สำหรับ นโยบาย 10 ข้อของกระทรวงพาณิชย์ นั้น หอการค้ามีความเชื่อมั่น และเห็นว่าหลายข้อสอดคล้องกับภารกิจหลักของหอการค้าฯ ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม วันนี้ภูมิทัศน์การค้าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ละประเทศต่างแข่งขันกันด้วยการออกกติกาใหม่ ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานโลก (supply chain) อย่างมาก ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ส่งออกไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มต้นทุนให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ แต่ยังมีปัญหาซับซ้อนในเรื่อง Transshipment และมาตรการ local content ที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ หอการค้าฯ เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนในประเด็นนี้ รวมถึงเรื่อง RVC (Regional Value Content) ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปฏิบัติตามกติกาและแข่งขันได้อย่างมั่นใจ
ดังนั้น จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องจัดตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” ขึ้นมาเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการต่างประเทศ กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมองภาพรวมและแก้ไขปัญหาการค้าที่ซับซ้อนทั่วโลกอย่างเป็นระบบ โดยเรื่องนี้ได้ถูกเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว และอยากขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
สำหรับการหารือในครั้งนี้ หอการค้าไทยได้หยิบยกข้อเสนอแนะที่ได้รวบรวมจากภาคธุรกิจใน 4 ข้อเสนอสำคัญ เพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่…
1. การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา การจัดการกับสินค้าสวมสิทธิ์เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การเร่งรัดการออกใบรับรองสินค้าตามมาตรฐาน BIS ของอินเดีย การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มผู้ประกอบการผู้ผลิตถุงมือยางไทย การกำกับตรวจสอบการนำเข้าของผลิตภัณฑ์ ที่เข้ามาในลักษณะการทุ่มตลาด และกำหนดมาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
2. การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่งเสริมโครงการนำร่อง เช่น Transshipment Sandbox ณ ท่าเรือแหลมฉบัง และการเชื่อมโยงระบบข้อมูลของภาครัฐอย่างไร้รอยต่อ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การเชื่อมโยงข้อมูล DBD กับ Platform ของพันธมิตร สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจแฟคตอริ่ง เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้เร็ว การตรวจสอบดำเนินคดีนิติบุคคลที่ใช้ Nominee ในการจัดตั้ง รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคค้าปลีก และท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของไทย
3. การขยายความร่วมมือ FTA และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ เร่งรัดการเจรจา FTA ไทย–อียู และขยายสู่ตลาดใหม่ในเอเชียใต้ แอฟริกา และลาตินอเมริกา ควบคู่กับการเสริมสร้างความรู้แก่ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อตกลงการค้าไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และ ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) การแก้ไขปัญหาการออกเอกสารการส่งออกผักผลไม้ที่แออัด ณ สนามบิน สุวรรณภูมิ
4. การค้าชายแดนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน ผลักดันมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ สินเชื่ออัตราพิเศษ (Soft Loan) การประกันความเสี่ยงการส่งออก
นอกจากนี้ หอการค้าไทยและกระทรวงพาณิชย์ยังได้หารือถึงการเดินหน้าร่วมกันในกิจกรรมเศรษฐกิจสำคัญหลายเวทีในช่วงครึ่งหลังของปี ไม่ว่าจะเป็น งานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน, ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) โดยให้ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบศูนย์ AFC ประจำจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและผลผลิตล้นตลาด, กิจกรรม Big Match จับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับเครือข่ายโมเดิร์นเทรด, ตลอดจนการจัดงานแสดงสินค้าภายในประเทศอย่าง THAIFEX–ANUGA ASIA และ THAIFEX–HOREC ASIA ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นประจำ
ประธานหอการค้าไทย ย้ำทิ้งท้ายว่า ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขยายเครือข่ายการค้า และตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ต่อไป.