กรมพัฒนาธุรกิจฯ แจงจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ 5 ด. ลดลง 5.68% แต่เงินทุนโตสวน 11.89% เผย! จดเลิกกิจการเพิ่มแค่ 3.31% จี้! นิติบุคคลรีบส่งงบการเงินด่วน

“อธิบดีฯอรมน” เผยยอดจดทะเบียนธุรกิจ พ.ค. 2568 และ 5 เดือนแรก พบจัดตั้งใหม่ลดลง แต่เงินทุนจดทะเบียนสะสมแตะ 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.89% ด้านการลงทุนโดยตรงโตตัวต่อเนื่อง ญี่ปุ่นครองแชมป์มากสุด ระบุ! พื้นที่ EEC ดูดนักลงทุนน 54% ของเงินลงทุนรวม ชี้! Bio-Innovation เป็น “ธุรกิจดาวรุ่ง” มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จี้! นิติบุคคลรีบส่งงบการเงินปี 2567 หลังขาดส่งอีก 156,084 ราย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,667 ราย ลดลง 832 ราย (-11.09%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (7,499 ราย) แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หรือเมษายน 2568 (6,325 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่  18,965 ล้านบาท ลดลง 2,923 ล้านบาท (-13.35%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (21,887 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 516 ราย ทุนจดทะเบียน 886 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 436 ราย ทุนจดทะเบียน 1,479 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 300 ราย ทุนจดทะเบียน 599 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.74%, 6.54% และ 4.50% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ ขณะที่ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัทภูเก็ต อาร์บีวัน จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,062 ล้านบาท

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 36,815 ราย ลดลง 2,217 ราย (-5.68%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (39,032 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,927 ล้านบาท (11.89%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (117,100 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,910 ราย ทุนจดทะเบียน 5,988 ล้านบาท  2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,483 ราย ทุนจดทะเบียน 9,314 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,537 ราย  ทุนจดทะเบียน 3,027 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.90%, 6.74% และ 4.17% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 5 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 8 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 38,561 ล้านบาท

การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวน 855 ราย ลดลง 149 ราย (-14.84%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (1,004 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,150 ล้านบาท ลดลง 50,654 ล้านบาท (-92.43%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (54,804 ล้านบาท) เนื่องจากเดือนพฤษภาคม 2567 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการจำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 50,477.75 ล้านบาท สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 75 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 195 ล้านบาท  2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 48 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 184 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 43 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 96 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.77%, 5.61% และ 5.03% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ

การจดทะเบียนเลิก 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 4,776 ราย เพิ่มขึ้น 153 ราย (3.31%) เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 (4,623 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 20,140 ล้านบาท ลดลง 51,704 ล้านบาท (-71.97%) เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 (71,845 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 447 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 847 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 232 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 1,096 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 202 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 487 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.36%, 4.86% และ 4.23% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 5 เดือนของปี 2567 ตามลำดับ  ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนของปี 2568 มีนิติบุคคลเลิกประกอบกิจการที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย รวมทุนจดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 4,128 ล้านบาท

ในภาพรวมแม้ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จะมีจำนวนลดลง 5.68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แต่หากดูที่มูลค่าการลงทุนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 จะพบว่า เพิ่มขึ้นถึง 11.89% เมื่อเทียบกับปี 2567   ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงเมื่อเทียบกับปี 2567 อาทิ ธุรกิจโฮลดิ้ง การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม  และการผลิตโซ่ ลวดสปริง สลักเกียว เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด  การให้คำปรึกษาด้านการจัดการ การขายส่งสินค้าทั่วไป และการขนส่งและขนถ่ายสินค้า ยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี เนื่องจากทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีแล้ว ซึ่งปัจจัยหนึ่งน่าจะสืบเนื่องจากนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล การขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการที่กลุ่มธุรกิจต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ของธุรกิจ เป็นต้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนชะลอตัว เช่น ก่อสร้างอาคารทั่วไป  อสังหาริมทรัพย์ ภัตตาคาร ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อาจสืบเนื่องมาจากผลกระทบของกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจากนโยบายการรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์       การชะลอตัวของการซื้อของชาวต่างชาติจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้เล่นในตลาดขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ อาทิ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก มาตรการทางการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ดี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 การเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยว มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ SME และการเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับต่างประเทศจะช่วยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม และช่วยคงจำนวนและมูลค่าการ จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 ให้สามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 90,000 ราย

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,001,647 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.84 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 953,580 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.56 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 753,780 ราย หรือ 79.05% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมดทุนจดทะเบียนรวม 16.78 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 198,307 ราย หรือ 20.80% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด1,493 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.36 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 516,498 ราย ทุนจดทะเบียน 13.05 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 311,963 ราย ทุน 2.57 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 125,119 ราย ทุน 6.95 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.16%, 32.72% และ 13.12% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

ส่วนการลงทุนของชาวต่างชาติ 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 426 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 105 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 321 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 88,943 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ใน 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 109 ราย (34%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 17,241 ล้านบาท (24%)

อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

 1.ญี่ปุ่น 85 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 41,062 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรม และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ แผ่นวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board) ชิ้นส่วนยานพาหนะ เครื่องจักรสำหรับงานอุตสาหกรรม

 2.สหรัฐอเมริกา 62 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,763 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุน   ในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการให้คำปรึกษาแนะนำและออกแบบเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการตรวจสอบ วิเคราะห์ วิจัย และประเมินคุณภาพของอัญมณีและเครื่องประดับ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น สิ่งปรุงแต่งอาหาร โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ Captive Screw for PCB

3.จีน 53 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 7,539 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ ชิ้นส่วนโลหะหล่อขึ้นรูป แม่พิมพ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และ บรรจุภัณฑ์จากกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

4.สิงคโปร์ 52 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 11,429 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนใน ธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ ตลอดจนการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการปฏิบัติการของงานระบบควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลสำหรับโครงการรถไฟฟ้า ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ไนโตรเซลลูโลสสำหรับอุตสาหกรรม อาหารสัตว์เลี้ยง Printed Circuit Board เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนออกแบบระบบควบคุมการปฏิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะ

5.ฮ่องกง 44 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 7,475 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ Data Center, Cloud Services และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม ผลิตภัณฑ์โลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติใน 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568)     มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 129 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 30 ราย (30%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 47,744 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 37 ราย ลงทุน 23,896 ล้านบาท จีน 30 ราย ลงทุน 4,460 ล้านบาท สิงคโปร์ 11 ราย ลงทุน 6,022 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 51 ราย ลงทุน 13,366 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรม ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนโลหะหล่อขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนกลุ่มภาพและเสียง หุ่นยนต์ที่ใช้สำหรับผลิตและตรวจสอบคุณภาพการผลิต และผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น

ธุรกิจ Bio-Innovation นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงการค้าโลกนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยผลวิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า ‘ธุรกิจ Bio-Innovation’ มีความโดดเด่นและศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเป็นการผสานเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เข้ากับนวัตกรรม (Innovation) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ การแพทย์ เกษตร อาหาร และสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกชีวภาพจากอ้อย-มันสำปะหลัง อาหารสัตว์จากแมลง และเส้นใยสังเคราะห์จากจุลินทรีย์  โดยจากข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 พบว่า มีนิติบุคคลในประเทศไทยจำนวน 389 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2567 จำนวน 45 ราย คิดเป็น 13.08% มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 9,576 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (92.03%) จัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัดมากที่สุด (98.2%) ในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (ม.ค-พ.ค.) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มนี้จำนวน 30 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 57.89% และมีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 5.11 เท่า โดยปัจจัยสำคัญมาจากการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการยอมรับเทคโนโลยีชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม ด้านการลงทุนจากต่างชาติ มีเงินลงทุนรวม 3,881 ล้านบาท

ทั้งนี้โดยนักลงทุนหลัก ได้แก่ ฮ่องกง (1,074 ล้านบาท) คิวบา (683 ล้านบาท) และญี่ปุ่น (649 ล้านบาท) ผลประกอบการของธุรกิจในกลุ่มนี้ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 มีรายได้รวม 6,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 707 ล้านบาท คิดเป็น 13.16% และในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา    ธุรกิจมีสินทรัพย์รวมสูงถึง 12,585 ล้านบาท ในปี 2556 เพิ่มขึ้น 123% จากปี 2562

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชื่อว่าธุรกิจ Bio-Innovation จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีปัจจัยต่างๆ ที่เอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจนี้ในประเทศไทยได้อย่างมีแต้มต่อ พร้อมสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

ส่วนสถิติการนำส่งงบการเงินของภาคธุรกิจ รอบปีบัญชี 2567 ซึ่งในปี 2568 มีนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงินประจำปี 2567 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทั้งสิ้นจำนวน 867,911 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่มีรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 786,256 ราย (ต้องนำส่งงบการเงินภายในวันที่ 4 มิถุนายน 2568) จากการตรวจสอบข้อมูล ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 พบว่า นิติบุคคล ในรอบปีดังกล่าวมีการนำส่งงบการเงินเข้าสู่ระบบแล้วเพียง 630,172 ราย (80.15%) และยังไม่ได้นำส่งอีก 156,084 ราย หรือคิดเป็น 19.85% ของนิติบุคคลที่ต้องนำส่งทั้งหมด จึงขอเตือนให้นิติบุคคลที่ยังไม่ได้นำส่งงบการเงินให้เร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยระยะเวลาล่วงเลยออกไปจะยิ่งล่าช้าหรือหากไม่นำส่ง กรมฯ จะดำเนินคดีกับทุกราย โดยจะออกหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาและส่งหนังสือแจ้งคำสั่งปรับเป็นพินัย ซึ่งอัตราค่าปรับมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ล่าช้าออกไป ดังนั้น จึงขอให้นิติบุคคลนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBD e-Filing ซึ่งสามารถนำส่งได้ทุกช่วงเวลาตลอด 24 ชั่วโมง.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password