‘พาณิชย์’ เผย! ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

“โฆษกพาณิชย์” แจงผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วง พ.ค.2568 แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่ยังต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น ผลจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก เผย!  ปัจจัยด้านเศรษฐกิจไทย ส่งผลกระทบมากที่สุด 49.84 ชี้! พนักงานของรัฐ คือ กลุ่มอาชีพเดียวที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 5,473 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม พ.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม พ.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 48.9 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 48.8 ใน เม.ย. 2568 โดย ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก(1)การปรับแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ประจำปี 2568 ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจการค้าโลก โดยมีการลงทุนในโครงการใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว แทนโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเลต รอบ 3 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย

และ (2) ความกังวลของภาคธุรกิจต่อมาตรการทางการค้าสหรัฐอเมริกาผ่อนคลายลง จากการชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การนำเข้าสินค้า (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 รวมทั้ง การส่งออกของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการเร่งส่งมอบสินค้าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการค้าไทย

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อระดับหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดของไทยและประเทศคู่แข่งขันที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร รวมทั้ง ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.84 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.11 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 9.76 ราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 8.31 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 6.91 การเมือง คิดเป็นร้อยละ 4.49 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 3.49 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 2.72 และอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.37 ตามลำดับ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 1 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.0 ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 49.3 ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 47.7 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 47.4 และภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 45.7 ปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าและไม่อยู่ในช่วงความเชื่อมั่น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่ามีเพียง 1 กลุ่มอาชีพ ที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 53.0 ขณะที่มี 6 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดย ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 49.2 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 49.2 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.9 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 47.8 อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 46.6 และ ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 46.3 สำหรับ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 35.7

นายพูนพงษ์ กล่าวอีกว่า ในช่วง พ.ค.ที่ผ่านมา ผลจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังคงส่งผลกระทบสำคัญต่อระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยกดดันภายในประเทศ อาทิ กำลังซื้อที่ลดลงภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามฤดูกาล และผลของสภาพภูมิอากาศในช่วงฤดูฝน อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลและการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน อาทิ การปรับแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งจะสามารถช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาเป็นรากฐานในการพัฒนาระยะยาวต่อไป รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ การอำนวยความสะดวกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการประกาศแผนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสำหรับการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

นอกจากนี้ ภาครัฐยังคงติดตามสถานการณ์การใช้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจาอย่างรอบด้านเพื่อให้การเจรจาบรรลุผลสำเร็จโดยเร็วและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้าดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลของประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ โครงการเปิดเทอมเติมพลัง เพื่อช่วยในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน การติดตามสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรอย่างใกล้ชิดและดำเนินมาตรการเชิงรุกในการกระจายผลผลิตผ่านการจับคู่ธุรกิจใหม่และการหาตลาดเพิ่มเติมทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมทั้ง มีการศึกษาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภาษีสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการและขยายโอกาสทางการค้าจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA)

ในเขตการค้าสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ไทย – สหภาพยุโรป เพื่อขยายตลาดและลดความกดดันจากสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือในตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ อาทิ FTA ไทย – กลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password