‘พาณิชย์’ ชี้! ผลกระทบหาก ‘ปิดถาวร’ ด่านการค้าชายติดกัมพูชา แค่ 3 ด่าน กระทบเกิน 90%

กระทรวงพาณิชย์วิเคราะห์ผลกระทบของการ “ปิดด่าน” การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ชี้! อาจจะมีผลกระทบต่อการค้าทั้ง 2 ฝ่ายไม่มากก็น้อย เผย! แค่ปิด 3 ด่านใหญ่ “อรัญประเทศ – คลองใหญ่ – จันทบุรี” กินส่วนแบ่งตลาดรวมกันไปแล้วเกิน 90% แนะผู้เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของการปิดด่านการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา (ณ วันที่ 8 มิ.ย.2568) ดังนี้
I ผลกระทบเชิงพื้นที่: ด่านที่มีบทบาทหลัก
ทั้งนี้ จากข้อมูลมูลค่าการค้า ในแต่ละด่านศุลกากรสำคัญ (ปี 2567) ดังนี้
1. อรัญประเทศ (สระแก้ว) 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.4%
2. คลองใหญ่ (ตราด) 29,289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.8%
3. จันทบุรี 26,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.3%
4. ช่องจอม (สุรินทร์) 6,084 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.5%
5. ช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) 1,818 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.0% รวม 5 ด่าน มูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากปิดด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียว จะส่งผลต่อมูลค่าการค้า มากกว่า 60% ของทั้งหมด ปิดด่านคลองใหญ่ + จันทบุรี รวมกันอีก 30% ดังนั้น สรุป: การปิดด่านใหญ่ 3 แห่งจะทำให้การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาหยุดชะงักเกือบทั้งหมด
II ผลกระทบเชิงโครงสร้างสินค้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญ (ม.ค.– เม.ย. 2568) :
เครื่องดื่ม, ส่วนประกอบรถยนต์/จักรยานยนต์, เครื่องยนต์, เครื่องจักรกลเกษตรคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด
ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ:
มันสำปะหลัง, เศษโลหะ (อลูมิเนียม, ทองแดง), ลวดสายไฟ ฯลฯ สินค้าเหล่านี้สำคัญต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย เช่น อาหารสัตว์, รีไซเคิล, อิเล็กทรอนิกส์ โดยการปิดด่านจะทำให้เกิดความล่าช้า, ต้นทุนเพิ่ม, ห่วงโซ่การผลิตสะดุด
III ผลกระทบเชิงเวลาและความต่อเนื่อง แม้ปัจจุบัน (มิถุนายน 2568) จะมีการ “ปรับวันและเวลาเปิด-ปิดด่าน” เฉพาะการควบคุมคนเข้าออก ไม่กระทบการค้าสินค้าโดยรวม แต่ถ้ามีการ “ปิดด่านอย่างถาวร” หรือ “ปิดหลายด่านพร้อมกัน” จะกระทบทันทีในระดับเหล่านี้:
ระยะสั้น (0–3 เดือน): ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก โลจิสติกส์หยุด/เบี่ยงเบนเส้นทาง
ส่วนระยะกลาง (3–12 เดือน): ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่ อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มกระทบ หากระยะยาว (1 ปี) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง ความสัมพันธ์ทางการค้าอาจเปลี่ยนไปสู่ช่องทางทางทะเลหรือผ่านประเทศอื่นแทน
IV โอกาสในการบริหารความเสี่ยง หากการปิดด่านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรพิจารณา 1. การกระจายความเสี่ยงการค้าไปยังด่านอื่นที่ยังเปิดอยู่ 2. การพัฒนาโลจิสติกส์ทางเลือก เช่น รถไฟ, ทางทะเล (ผ่านเวียดนาม/ลาว) 3. การเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจให้ผู้ค้า
ส่วนนโยบายความช่วยเหลือด้านการค้า ยังรอประเมินสถานการณ์ก่อน.