วงถกภาคี สสส. จ่อฟ้อง ‘รายใหญ่’ โหมขายเหล้าสงกรานต์ – ดึง ‘คนรุ่นใหม่’ ร่วมต้านกาสิโน พ่วงทำประชามติ

วงเสวนาสรุปบทเรียนควบคุมแอลกอฮอล์และตั้งกาสิโน แฉ! ภาคธุรกิจและคนขายเหล้า ฉวยโอกาส-เอาเปรียบ โหมขายหนักมากช่วงสงกรานต์ จ่อฟ้องเชือดรายใหญ่ ย้ำ! กฎหมายผ่านสภาผู้แทนฯ แต่ยังไม่ผ่านวุฒิสภา ชี้! จนท.รัฐต้องเข้มบังคับใช้กฎหมาย เผย! ประชาชน 8 กลุ่มต้านกาสิโน เหตุกระทบทั้งสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ยืนยันเดินหน้าคัดค้านแรง

หวังดึงทำประชามติก่อน พ่วงหาพลังคนรุ่นใหม่ร่วมหนุนต้าน ด้าน “บอร์ด สสส.” ระบุ! อนาคตอาจส่งผลคนดื่มเหล้ามากขึ้น แนะภาคีต้องปรับกลยุทธ์ทำงานและร่วมมือกันมากขึ้น สื่อมวลชนพร้อมให้ปัญญากับสังคม สร้างแนวร่วมต้านอบายมุข 

เมื่อวันพุธที่ 30 เมษายน 2568 ณ ห้อง บุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัลริเวอร์  เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร  มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) , เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของ กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน”  โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการ สสส. ด้านการสื่อสารมวลชน กล่าวเปิดการเสวนาว่า ช่วงนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของ ภาคีภาคประชาสังคมที่ทำงานรณรงค์และขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม แน่นอนว่าการที่ ฝ่ายการเมืองเร่งรัดผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แก้ไขเนื้อหาหลายประเด็น จะทำให้เกิดความถี่ในการดื่มฯของประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้ภาคีต้องปรับแนวทางในการทำงานใหม่ เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลพยายามผลักดันเสนอกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยนั้น ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักที่ทุกฝ่ายในสังคมได้แสดงพลังคัดค้าน แม้แต่ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ก็แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศถอยชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเลิกเสนอกฎหมายฉบับนี้ เพราะคนในรัฐบาลยังยืนยันว่าจะต้องอธิบายและสื่อสารให้คนเข้าใจมากขึ้นก่อน ดังนั้น ภาคีปัจจัยเสี่ยงทั้งแอลกอฮอล์ การพนัน จำเป็นต้องร่วมมือกับสื่อสารมวลชนในการให้ความรู้สร้างปัญญาให้กับสังคมและสะท้อนความเห็นของผู้คนทั้งประเทศให้ผู้กำหนดนโยบายได้รับรู้   

ชูวิทย์ จันทรส

ด้าน นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ได้ผ่านการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา (ส.ว.) คาดว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาในวาระ 2-3 ของ สว.ในสมัยประชุมหน้า ซึ่งแนวโน้มอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในร่างที่ผ่านสภาผู้แทนฯแล้ว เช่น กำหนดให้มีผู้แทนผู้ผลิต นำเข้า ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งคน เป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากมีวาระพิจารณาที่มีส่วนได้เสีย ต้องออกจากที่ประชุม ซึ่งจุดนี้ในกฎหมายเดิมไม่มี ส่วน คณะกรรมการควบคุมฯ จังหวัดและกทม.มีการเพิ่มผู้แทนสภาเด็กและเยาวชน และเพิ่มนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองประธานคณะกรรมการจังหวัดด้วย นอกจากนี้ มีการผ่อนปรนให้ขายและดื่มได้ในสถานที่ราชการได้ กรณีจัดกิจกรรมพิเศษโดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบันที่ 253 เรื่องกำหนดเวลาขาย 2 ช่วงเวลา คือ 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. แม้จะยกเลิกประกาศฉบับนี้ไปแล้ว แต่ประกาศสำนักนายกฯที่กำหนดเวลาขายไว้สองช่วงเวลาเช่นกันยังคงอยู่ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดคิดว่ายกเลิกแล้ว ส่วนการห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมา กฎหมายใหม่ได้เพิ่มการตรวจบัตร ตรวจอาการคนเมา  และเพิ่มความรับผิดของผู้ขาย หากรู้ว่าเป็นเด็กหรือคนเมาแล้วยังขายให้จนไปเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สินผู้อื่นผู้ขายต้องรับผิดทางแพ่งด้วย เพิ่มโทษปรับที่หนักขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาทอีกด้วย 

ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวอีกว่า มีการเพิ่มเติมให้ขายโดยเครื่องขายอัตโนมัติได้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนด เช่น ตรวจอายุผู้ซื้อ ช่วงเวลา สถานที่ตั้ง และดูอาการเมาของผู้ซื้อด้วย ส่วนในเรื่อง การโฆษณาโดยหลักการบุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้หากไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า การโฆษณาทำได้แค่ให้ความรู้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่โฆษณาอะไรก็ได้ เรื่องนี้ต้องไปออกกฎหมายลูกอีกว่าจะคุมเข้มแค่ไหน ส่วนเรื่องตราเสมือนที่เคยใช้กันเพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย เช่นน้ำดื่ม โซดา มีการห้ามการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจหรือสื่อไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ต้องโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น เพิ่มอำนาจตักเตือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดครั้งแรกที่ไม่ร้ายแรง มีการปรับเป็นพินัย กรณีความผิดเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ปิดสถานที่ ระงับการเผยแพร่สื่อโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายหากพบความผิดตามกฎหมายนี้ 

นอกจากนี้ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา พบว่า มีธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าผับบาร์ ฉวยโอกาสทำผิดกฎหมาย ซี่งเราได้รวบรวมข้อมูลเตรียมไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงขอย้ำว่ากฎหมายฉบับเดิมยังบังคับใช้อยู่ เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจัง หลังจากนี้ ภายในระยะเวลา 1 ปี หากฎหมายบังคับใช้แล้ว จะต้องไปจัดทำกฎหมายระดับรองอีกจำนวน 38 ฉบับ

ธนากร คมกฤส

ขณะที่ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) กล่าวถึงความคืบหน้า การคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วย ว่า สิ่งที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต่างต้องเรียนรู้และตระหนักในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา คือ คนที่ออกมาค้านจำนวนไม่น้อยเป็นพลังเงียบที่มีอยู่จริง และจะแสดงพลังเมื่อถึงเวลาอันสมควร  สรุปได้ว่ามีประมาณ 8 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคปท. ศปปส. กองทัพธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการขับไล่รัฐบาล  2. เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและ 100 องค์กร ซึ่งมีมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะรวมอยู่ด้วย มีจุดยืนคือให้มีมาตรการและกลไกที่ชัดเจนในการควบคุม แก้ปัญหาปัญหาและลดผลกระทบทางสังคม 3.กลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เช่น ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์  กลุ่มแพทย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ  4. คณาจารย์และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย เช่น 99 นักวิชาการที่เคยคัดค้านเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว 5.องค์กรด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เช่น สภาการศึกษาคาทอลิคแห่งประเทศไทย สภาคริสตจักรในประเทศไทย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนใต้ กับเครือข่ายสภาวัฒนธรรมทั่วประเทศ  6. ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวบางจังหวัด 7.เครือข่ายแรงงาน   สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ 8.กลุ่มด้านนิติบัญญัติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา 189 คน  อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 102 คน ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2550

ที่สำคัญหลายพรรคการเมืองแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น พรรคไทยสร้างไทย พลังประชารัฐ ประชาชาติ ส่วนพรรคประชาชน ภูมิใจไทยยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาจำนวนมากเริ่มมีท่าทีคัดค้านมากขึ้น

เลขาธิการ มรพ.กล่าวอีกว่า เหตุผลผู้ที่คัดค้านเพราะเห็นผลกระทบ 3 ด้าน คือ ด้านสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ธุรกิจสีเทา และความปลอดภัยในสังคม ผลกระทบทางสุขภาพจากการเสพติดพนัน ความเครียด ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ด้านเศรษฐกิจ เห็นว่าไม่มีความไม่จำเป็นต้องมีกาสิโนเพราะประเทศไทยมีสิ่งดีๆอยู่มากมาย ความไม่คุ้มค่าของการลงทุน เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายวงกว้างมากขึ้น ด้านการเมือง เช่นไม่ได้อยู่ในนโยบายที่หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ร่างกฎหมายขาดความรัดกุม ความไม่เชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายและการทุจริตคอรัปชั่น ที่ผ่านมาภาคประชาชนพยายามสื่อสารให้ข้อมูลมาตลอดทั้งบทเรียนจากต่างประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีกาสิโน 

อย่างไรก็ตามพบว่า ข้อมูลข่าวสารยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง ประชาชนในต่างจังหวัดยังรับรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก คนที่ออกมาคัดค้านก็เป็นคนรุ่นเก่าเป็นหลัก ส่วนเยาวชนคนรุ่นใหม่ยังออกมาไม่มากนัก  สิ่งที่จะทำต่อไปของภาคประชาชนคือ เรียกร้องให้ทำประชามติ ขณะนี้มีรายชื่อสนับสนุนแล้วประมาณ 55,000 รายชื่อ การเปิดพื้นที่สานเสวนารับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ การสานพลังทุกกลุ่มที่ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาช่องทางในการฟ้องร้องตามกฎหมาย หากรัฐบาลดึงดันที่จะเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ต่อ

ด้าน สื่อมวลชนที่เข้าร่วมการเสวนา เห็นด้วยว่า จะต้องเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าของทั้ง 2 ประเด็นให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ การสื่อสารและหาเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ให้แสดงบทบาทและมีส่วนร่วมในการคัดค้านและสะท้อนความคิดเห็นไปสู่รัฐบาลได้มากขึ้น ส่วน นายอภิวัชร เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) สรุปปิดการเสวนาครั้งนี้ว่า ทาง มสส. และ สสสย. พร้อมที่จะมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของภาคีแอลกอฮอล์ และการพนันในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ต่อไป.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password