กรมพัฒนาธุรกิจฯชี้! ตั้งธุรกิจใหม่ 2 ด.แรกพุ่งกว่า 1.6 หมื่นราย สัดส่วนตั้งใหม่ต่อจดเลิก 7:1 ดีสุดรอบ 5 ปี

“อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า” เผย! ธุรกิจตั้งใหม่เดือน ก.พ.2568 มี 7,529 ราย และ 2 เดือนแรก 16,391 รายชะลอตัวลงเล็กน้อย สัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่กับจดเลิกกิจการอยู่ที่ 7:1 ดีสุดเมื่อเทียบ 5 ปีย้อนหลัง ถึง 4:1 ชี้! ต่างชาติลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เน้นธุรกิจถ่ายทอดโนฮาวน์เฉพาะด้านพัฒนาทักษะแรงไทย ระบุ! ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น น่าจับตามอง สร้างรายได้และกำไรต่อเนื่อง แจ้งเตือนผู้ใช้บริการเตรียมตัวเข้าสู่บริการออนไลน์เต็มรูปแบบ ประกาศปิดเคาน์เตอร์จดทะเบียนแบบ walk in 1 ก.ค.2568   

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามี ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,529 ราย ลดลง 579 ราย (-7.14%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (8,108 ราย) และ ทุนจดทะเบียนรวม 16,335 ล้านบาท ลดลง 4,027 ล้านบาท (-19.78%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (20,361 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 628 ราย มูลค่า ทุน 1,340 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 473 ราย ทุน 2,117 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 339 ราย ทุน 610 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.34%, 6.28% และ 4.50% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนกุมภาพันธ์ ตามลำดับ

การจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 2 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีจำนวน 16,391 ราย ลดลง 879 ราย (-5.09%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (17,270 ราย) ทุนจดทะเบียน 41,285 ล้านบาท ลดลง 4,509 ล้านบาท (-9.85%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (45,794 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 1,319 ราย ทุน 2,762 ล้านบาท        2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,085 ราย ทุน 4,156 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 675 ราย ทุน 1,341 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.05%, 6.62% และ 4.12% จากจำนวนการจดจัดตั้งธุรกิจเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ตามลำดับ

ขณะที่ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวน 787 ราย เพิ่มขึ้น 81 ราย (11.47%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (706 ราย) และมี ทุนจดทะเบียนเลิก 2,417 ล้านบาท ลดลง 730 ล้านบาท (-23.19%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (3,146 ล้านบาท) สำหรับ ประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 76 ราย ทุน 112 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 35 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 131 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 34 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 96 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.66%, 4.45% และ 4.32% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตามลำดับ

การจดทะเบียนเลิกสะสม 2 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย (16.86%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (1,898 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656 ล้านบาท (10.31%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (6,361 ล้านบาท) โดย ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 227 ราย ทุน 375 ล้านบาท 2) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 92 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 274 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 87 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.23%, 4.15% และ 3.92% จากจำนวนการจดเลิกธุรกิจเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ตามลำดับ

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท โดยมี นิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 935,839 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.39 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 737,891 ราย หรือ 78.85% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.36 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 196,465 ราย หรือ 20.99% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และ บริษัทมหาชนจำกัด  1,483 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.60 ล้านล้านบาท

สำหรับ นิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 505,501 ราย ทุนจดทะเบียน 13 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 306,896 ราย ทุน 2.54 ล้านล้านบาท และ ธุรกิจผลิต 123,442 ราย ทุน 6.84 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.02%, 32.79% และ 13.19% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ ตามลำดับ

แม้ตัวเลขการจดทะเบียนนิติบุคคลในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดูจะชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก แต่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะเห็นว่าอัตรา   การจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกในปี 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่า 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ที่มีสัดส่วน 4:1 หรือตั้ง 4 ราย เลิก 1 ราย

ส่วน การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีจำนวน 181 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทาง การขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 41 ราย และ การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 140 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 35,277 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ใน 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 73 ราย (68%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 8,738 ล้านบาท (33%) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1. ญี่ปุ่น 38 ราย คิดเป็น 21% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการบริหารจัดการการสั่งซื้อและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต

2. จีน 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

3. สิงคโปร์ 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ ธุรกิจบริการ Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

4. สหรัฐอเมริกา 19 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,372  ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต

5. ฮ่องกง 16 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 57 ราย คิดเป็น 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 22 ราย (63%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 17,546 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็น นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 19 ราย ลงทุน 8,096 ล้านบาท จีน 14 ราย  ลงทุน 2,751 ล้านบาท สิงคโปร์ 8 ราย ลงทุน 2,191 ล้านบาท และ ประเทศอื่นๆ อีก 16 ราย ลงทุน 4,508 ล้านบาท

ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า แม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป แม่พิมพ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ กรมฯได้วิเคราะห์ถึงธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นอนาคตสดใส โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น มีทิศทางการสร้างผลประกอบการที่เติบโต แบ่งเป็นกลุ่มผลิต อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆ และกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช โดยกลุ่มขายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมาก ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ เป็นมูลค่าสูงถึง 9,325 ล้านบาท ไปประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยกว่าครึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน โดยส่งออกไปประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

ปัจจุบัน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นจำนวน 2,993 ราย (แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท) ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขาย     ในปี 2566 สร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท และตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 1,842 ล้านบาท 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ

เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือ กุญแจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจนี้ การพัฒนาเกษตรกรให้ก้าวไปสู่ Farmer Business นอกจากมีทักษะในการเพาะปลูกที่เชี่ยวชาญแล้ว การทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพ (Smart Farming) หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วยจะทำให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพบนเวทีโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกอยู่แล้ว การพัฒนาคนที่สามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพาะปลูกจึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงการใช้โอกาสของหลักประกันทางธุรกิจในการนำไม้ยืนต้นมาต่อยอดเป็นเงินทุนที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยายต่อไปได้ นับถอยหลังปิดเคาน์เตอร์จดทะเบียนธุรกิจ เปิดช่องทางออนไลน์ 100%

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพร้อมเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ดันผู้ใช้บริการใช้ช่องทางระบบ DBD Biz Regist จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เปลี่ยนแปลง แก้ไขรายการทางทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ 100% ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการจองคิวเพื่อเข้ามาจดทะเบียนนิติบุคคลที่กรมฯ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1-6 และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งในแต่ละวันรับได้จำนวนจำกัด ช่วยให้การจดทะเบียนเร็วขึ้น ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง โดยช่วงนี้จะเป็นช่วงเตรียมความพร้อมให้ผู้ใช้บริการทยอยปรับตัวเพื่อเข้าสู่เป้าหมายที่จะปิดเคาน์เตอร์ Walk In หรือการยื่นจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568

อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ใช้บริการไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เข้าใจหรือใช้งานระบบจดทะเบียนผ่านออนไลน์ไม่เป็น หรือใช้ยาก เพราะกรมฯ เตรียมความพร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์คอยให้คำปรึกษาตลอดวันและเวลาราชการ ณ ส่วนกลาง (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ถนนนนทบุรี 1) สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าในกรุงเทพมหานคร ทั้ง 6 เขต และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถสอบถามวิธีการใช้งานระบบจดทะเบียนออนไลน์ (DBD Biz Regist) วิธีการเตรียมเอกสารเพื่อใช้ประกอบการยื่นจดทะเบียนออนไลน์ และการยื่นขอจดทะเบียนหรือแก้ไขรายการทางทะเบียนแบบออนไลน์ผ่าน e- Form ได้

รวมทั้งสามารถสอบถามผ่านเจ้าหน้าที่ส่วนส่งเสริมและพัฒนาระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล กองทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 5995-8 อีเมล bizregist@dbd.go.th สายด่วน 1570 และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dbd.go.th โดยในระหว่างนี้ขอให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนโปรดเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การให้บริการของกรมฯ แบบออนไลน์ 100% ซึ่งสามารถศึกษาด้วยตนเองได้จากสื่อประชาสัมพันธ์การใช้งานระบบออนไลน์ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ และ Social Media ของกรมฯ

สำหรับ สำนักงานบัญชี/สำนักงานกฎหมายสามารถสมัครเข้าร่วมอบรมเพื่อเรียนรู้การใช้งานกับกรมฯ ได้ โดยเปิดอบรมเดือนละ 2 ครั้ง ในการนี้ นับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 (วันเปิดให้บริการระบบ DBD Biz Regist อย่างเป็นทางการ)    มีภาคธุรกิจและประชาชน หันมาใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งจัดตั้งใหม่ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลทางทะเบียนผ่านระบบ DBD Biz Regist เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด (ณ 16 มีนาคม 2568) มีผู้ใช้บริการผ่านทางออนไลน์คิดเป็น 36% ของผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมดทั่วประเทศ และเป็น 40% ของผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลที่กรมฯ และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าทั้ง 6 เขตได้ต่อไป.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password