นายกฯและคณะฯ จำเอาไว้ให้ดี…กฟภ. มิใช่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอาเซียน?
ปรัชญาการจัดตั้งหน่วยงานด้านการไฟฟ้าของไทย ดูมันผิดฝาผิดติดตัวมาตั้งแต่ต้น?
เฉพาะ 2 หน่วยงานการไฟฟ้าหลัก อย่าง…การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง นั้น
หากย้อนกลับไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน เชื่อว่า…สังคมไทยคงพอทำใจยอมรับได้
แต่ไม่ใช่ ณ ปัจจุบัน!!!
ยิ่งในสถานการณ์ที่ทุกประเทศทั่วโลก ต่างต้องให้ความสำคัญทางด้านความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และด้านเศรษฐกิจด้วยแล้ว การยังคงให้ กฟน.และ กฟภ. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ดูจะไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันสักเท่าใด?
กรณี กฟภ. ขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดไทย โดยเฉพาะ กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา แม้ “โฆษก กฟภ.” นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการ กฟภ. จะอ้างอิงมติ ครม.เมื่อปี 2539 ที่เห็นชอบในหลักการให้ กฟภ.ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก
ก็ควรจะยก มติ ครม.ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ยุคของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ที่มีความพยายามจะแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ตั้งบริเวณชายแดน มาพิจารณาประกอบกันไปด้วย
นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ตั้งข้อสังเกตว่า…มติ ครม. สมัยของ “รัฐบาลเศรษฐา” ก็ชัดเจนในประเด็น มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ตั้งบริเวณชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด บ่อนพนันผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และอื่นๆ
อะไรที่ส่งผลกระทบมาถึงไทย ควรที่ กระทรวงมหาดไทย ต้นสังกัดของ กฟภ. ควรจะพิจารณาตัดสินใจเลิกขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นทันที
แต่กลายเป็นว่า…กระทรวงมหาดไทย และกฟภ. ในยุคของ “เดอะหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กลับเบี่ยงเบนและโยนเรื่องการตัดไฟฟ้าที่ กฟภ.ขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง จะต้องตัดสินใจเชิงนโยบาย และส่งเรื่องมายังมหาดไทย เพื่อให้ดำเนินการต่อ…
หาก นายอนุทิน จะหันไปดูมติ ครม. ในวันที่ตัวเขาเอง ก็อยู่ร่วมประชุมฯ ในฐานะ “มท.1” อย่างใส่ใจแล้วล่ะก็ การโยนเรื่องไปมาคงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน!!!
จะว่าไปแล้ว…รายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยเฉพาะที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ในประเทศเมียนมา เช่น กลุ่มธุรกิจคาสิโนผิดกฎหมาย ที่อาจเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องปัญหายาเสพติด การค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ และอีกสารพัด…
กฟภ.มีรายได้ตรงนี้ เพียงปีละ 800 ล้านบาท เทียบไม่ได้เลยกับรายได้จากการขายไฟฟ้าภายในประเทศ ซึ่ง “โฆษก กฟภ.” เคยให้สัมภาษณ์ว่า…มีสูงถึงปีละ 6 แสนล้านบาท
แต่รายได้ของ กฟภ. เพียงปีละ 800 ล้านบาทที่ว่านี้ ทำให้คนร่วมขบวนการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะ “กลุ่มจีนเทา” และกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้าน ได้มีพละกำลังมากพอจะก่อการใดๆ ก็ตาม ที่เป็นปัญหาต่อประเทศต้นทางของไฟฟ้าที่ กฟภ.ขายไปให้…
เราควรกลับมาทบทวนกันใหม่ดีกว่าไหม? กับบทบาทของ กฟภ. ทั้งในเรื่องการขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน และการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
ในเมื่อชื่อมันก็บอกชัดว่าเป็น 1. “การไฟฟ้า” ที่ควรจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน มากกว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย และ 2. “ส่วนภูมิภาค” ซึ่งเป็นส่วนภูมิภาคของประเทศไทย หาใช่…ภูมิภาคอาเซียน หรืออินโดจีน แต่อย่างใด?
ดังนั้น การที่ กฟภ. จะตัดและยกเลิกการขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อน ซึ่งแต่ละปีก็มีรายได้เพียงเล็กน้อย แต่กลับก่อปัญหาให้กับประเทศไทยอย่างมหันต์ จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างที่สุด!
พลังงานไฟฟ้า…จัดเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงของประเทศ” และยิ่งโลกในทุกวันนี้…กำลังจะขับเคลื่อนประเทศ ระบบเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศไปสู่จุดที่ดียิ่งๆ ผ่าน…พลังงานไฟฟ้า ด้วยแล้ว
จำเป็นอย่างยิ่งที่ ประเทศไทย จำต้องรักษาพลังงานไฟฟ้าเอาไว้เป็น “พลังงานสำรอง” ใช้ในยามจำเป็น หรือไม่ก็ควรเตรียมเอาไว้รองรับกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ “เทคยักษ์ใหญ่” จากต่างประเทศ ที่เตรียมจะย้ายฐานเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย เช่นที่กลุ่ม TikTok และอื่นๆ กำลังย้ายเข้ามาในเร็วๆ นี้…
อีกด้านหนึ่ง แม้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสั่งการให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กฟภ. และหน่วยงานอื่นๆ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป้าหมายสำคัญคือ ไม่อยากให้หน่วยงานเหล่านี้ โยนเรื่องกันไปมา โดยหาเจ้าภาพมารับผิดชอบไม่ได้
“การประชุมในช่วงเช้าของ สมช. มีความเป็นเอกภาพ ไม่ได้มีการโยนกันไปมา และสิ่งที่สำคัญ ให้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด โดยให้ประสานระหว่าง สมช. กระทรวงมหาดไทย เพื่อประสาน ให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อ กับเมียนมา เพื่อดำเนินการจากมาตรการเบาไปหาหนัก ให้เขาเร่งเคลียร์กับบริษัท ที่อยู่ภายในประเทศของเขา หากมีปัญหา และยังไม่ดำเนินการใดๆ ก่อนจะมีกระบวนการในการจัดการต่อไป เราแจ้งให้เขาทราบในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของประเทศ ที่จะต้องพูดคุย และสิ่งสำคัญเรากำลังดำเนินการอยู่ อาจจะต้องใช้มาตรการตัดไฟครึ่งหนึ่ง เพื่อให้กระแสไฟตก โดยเฉพาะอำเภอแม่ละมาด กับแม่สอด จ.ตาก ที่เกี่ยวข้องกับเมืองชเวโก๊กโก่ ควบคู่ไปกับมาตรการเจรจา” นายภูมิธรรม ระบุ
นั่นคือ “แผนเฉพาะหน้า” ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะในบ่ายสามโมง วันพรุ่งนี้ (4) เป็น นายภูมิธรรม ที่จะต้องนำ “ข้อเสนอแนะ” จาก ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ไปหารือร่วมกับ นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ของจีน ณ ห้องประชุมกระทรวงกลาโหม
ก็ถ้าหากปัญหาจริงยังไม่จบ! การตัดไฟครึ่งหนึ่ง ไม่ช่วยทำให้ขบวนการนอกกฎหมายเหล่านี้ หยุดยั้งการคุกคามคนไทยและประเทศไทย ล่ะก็…
จำกันไว้ให้ดี…กฟภ. ย่อมาจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หาใช่…การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอาเซียน ที่จะต้องเร่ขาย แลกเอาเงินเพียงปีละ 800 ล้านบาท เพื่อมาทำลายและทำร้ายคนไทย ระบบเศรษฐกิจไทย ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีงามของไทย
บุคคลที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา โปรดจำให้ขึ้นใจขึ้นแล้วกัน!!!.