กรมพัฒนาธุรกิจฯ ลั่น! เอาผิดตั้ง ‘บริษัทผี’ หลอกประชาชน/แจ้งที่ตั้งเท็จ – ย้ำ! ทำอยู่ทำอีก ‘เร่งคุมกำเนิดบัญชีม้านิติบุคคล’

“อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า” เกาะติดคดี “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หลอกหลวงและข่มขู่ “เหยื่อผู้สูงวัย” ทำสูญเงินกว่า 1.2 ล้านบาท โดยโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารชื่อนิติบุคคลที่แจ้งที่ตั้งสำนักงาน โดยเจ้าบ้านไม่อนุญาต เผย! เข้าข่ายผิด “ไม่มีสถานที่ตั้ง” พ่วงแจ้งความเท็จ ลั่น! ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวน ส่อเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านิติบุคคล ย้ำ! กรมฯไม่นิ่งนอนใจเร่งแก้ไขเต็มที่ งัดมาตรการคุมกำเนิดมิจฉาชีพใช้ช่องทางจัดตั้งนิติบุคคลมาหลอกประชาชน  

กรณีที่มี “ผู้ใช้เฟซบุ๊ก” รายหนึ่งได้โพสต์เล่าเรื่องราวเพื่อเป็นอุทาหรณ์ โดยปรากฏตามหน้าข่าวของสื่อมวลชนว่า ตนถูก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากค่ายโทรศัพท์และตำรวจหลอกเงินไปกว่า 1.2 ล้านบาท ทั้งยังได้ข่มขู่ตนซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ด้วยเกรงว่าจะมีการใช้ชื่อของตนเปิดบัญชีม้า จึงยอมทำตามที่ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”  บอกและโอนเงินไปยังปลายทางที่เป็นชื่อบัญชีธนาคาร เปิดโดยนิติบุคคล ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความ กระทั่ง นำไปสู่การตรวจสอบและพบว่าสถานที่ตั้งของนิติบุคคลดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านตัวจริง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้เร่งตรวจสอบบริษัทตามที่เป็นข่าว ซึ่งในกรณีนี้ถือว่านิติบุคคลดังกล่าวได้กระทำความผิดภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1148 ที่กำหนดให้ บริษัทจำกัดต้องมีสำนักงานที่ตั้ง และแจ้งต่อนายทะเบียนของกรมฯเมื่อดำเนินการจัดตั้งนิติบุคคลหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งสำนักงาน หากไม่กระทำตามจะต้องได้รับโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“ในส่วนของการฉ้อโกงผู้เสียหาย เป็นอำนาจของตำรวจที่จะได้ดำเนินการสืบสวนนิติบุคคลรายนั้นในเชิงลึกต่อไป ซึ่ง กรมฯ ยินดีที่จะให้ข้อมูลทางทะเบียนของนิติบุคคลดังกล่าวเพื่อนำไปประกอบการสืบสวนว่าเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านิติบุคคลหรือไม่ และสามารถดำเนินการจับกุมภายใต้อำนาจหน้าที่ของตำรวจต่อไป” อธิบดีอรมน กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ต้องการประกอบธุรกิจและจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ แต่จากสถานการณ์ปัญหาการนำชื่อนิติบุคคลไปหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนโดยเฉพาะการเปิดบัญชีม้า ทำให้กรมฯไม่ได้นิ่งนอนใจในการสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ประชาชน และการอำนวยความสะดวกผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจ โดย กรมฯ มีมาตรการและกำหนดแผนงานที่จะกำกับการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลให้เป็นไปอย่างรัดกุม ดังนี้

1) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยสร้างความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อตรวจสอบสถานที่ตั้งนิติบุคคลตามที่ผู้ขอจดทะเบียนได้แจ้งไว้และปักหมุดพร้อมแสดงภาพถ่ายในลักษณะแผนที่ Google Map

2) หากกรมฯ พบว่า นิติบุคคลใดมีที่ตั้งไม่ตรงกับที่แจ้งจดทะเบียน จะดำเนินการป้องปรามภายใต้อำนาจหน้าที่ที่กรมฯ สามารถกระทำได้คือ การระบุหมายเหตุในหน้าหนังสือรับรองนิติบุคคล ว่า “ไม่มีสถานที่ตั้งจริง” เพื่อเป็นการเตือนให้ผู้ที่ต้องการจะทำธุรกิจด้วยต้องพึงระมัดระวัง

3) มาตรการป้องปรามบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงด้านการฟอกเงินที่ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อ HR-03 ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะต้องมาแสดงตัวต่อหน้านายทะเบียนเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามนายทะเบียนจะปฏิเสธและไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

และ 4) ร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการขยายผลเอาผิดและบังคับใช้กฎหมายกับผู้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานในเรื่องสถานที่ตั้งนิติบุคคล

ทั้งนี้ การจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล มีขั้นตอน ดังนี้ 1) จัดทำคำขอพร้อมเอกสารประกอบมายื่นต่อนายทะเบียน 2) นายทะเบียนตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง หากถูกต้องครบถ้วนก็รับจดทะเบียนฯ โดยหลักเกณฑ์การจดทะเบียนในปัจจุบันไม่มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบสถานที่ตั้งก่อนการรับจดทะเบียนและกฎหมายไม่ได้ห้ามที่หลายนิติบุคคลมีสถานที่ตั้งเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ในการพิจารณา  คำขอจดทะเบียนจะมีการตรวจสอบเลขรหัสประจำบ้านกับฐานข้อมูลของกรมการปกครองว่าเป็นข้อมูลที่ตรงกันกับบ้านเลขที่ดังกล่าวจริง โดยในส่วนเจ้าของบ้านจะทราบและยินยอมให้ใช้เป็นที่ตั้งนิติบุคคลหรือไม่นั้น ผู้ขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลจะเป็นผู้ยืนยันและรับผิดชอบข้อเท็จจริงดังกล่าวเอง หากเป็นการแจ้งเท็จก็จะมีความผิดตามกฎหมาย

“จากปัญหาการใช้ บัญชีม้านิติบุคคลและสถานที่ตั้งอันเป็นเท็จในการหลอกลวงประชาชนดังกล่าว กรมฯ เตรียมเพิ่มมาตรการเพื่อตรวจสอบสถานที่ตั้งและเรียกเอกสารยินยอมจากเจ้าของสถานที่ตั้งนิติบุคคล เพื่อปิดช่องว่างการที่มิจฉาชีพนำที่อยู่ของผู้อื่นมาสวมทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล” อธิบดีฯอรมน กล่าวทิ้งท้าย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password