พาณิชย์หารือ ‘ทูตญี่ปุ่น’ ดึงนักลงทุน เสริมศักยภาพ ‘อุตสาหกรรมอนาคต (AI) – ยานยนต์ – ดิจิทัล’

“พิชัย นริพทะพันธุ์” หารือทูตญี่ปุ่น ดึงนักลงทุนเสริมศักยภาพ “อุตสาหกรรมอนาคต (AI) ยานยนต์ – ดิจิทัล” พร้อมเร่งปิดดีล FTA ขยายตลาดส่งออก ชี้! การค้า 2 ชาติในรอบ 11 เดือนปี 2567 มีมูลค่ารวมกว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยขาดดุลเล็กน้อย และญี่ปุ่นยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับ นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่า ตนรู้สึกดีใจที่นักลงทุนญี่ปุ่นจำนวนมากกลับเข้าสู่ไทย และญี่ปุ่นมีการลงทุนเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ลดการลงทุนในไทย ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 ไปร่วมทศวรรษ การได้พบกับ ท่านทูตมาซาโตะ เป็นการช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน รวมถึงได้ฝากให้ช่วยดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้ขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ ยานยนต์ยุคใหม่ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ AI ดาต้าเซนเตอร์ ดิจิทัล แผงวงจรพิมพ์ (PCB) การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทั้งได้สานต่อการเจรจาหลังตนได้เยือนญี่ปุ่นดึงนักลงทุนและหารือกับผู้นำระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งให้คำมั่นที่จะขยายตลาดการส่งออกผ่าน FTA ในกลุ่มประเทศที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกต่อไป

ทั้งนี้ ไทยมุ่งหวังเป็นศูนย์กลางสำหรับการค้าและการลงทุน เป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ และการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในวันนี้ ตนจึงได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งยานยนต์สันดาปและยานยนต์ยุคใหม่ รวมทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพข้างต้น โดยที่ผ่านมา ญี่ปุ่นยังเป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทยและมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย

และวันนี้ ตนยังได้มีโอกาสหารือกับ นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และคณะ เพื่อความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐกับเอกชนให้ไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ของอาเซียน โดยภาคเอกชนฝากการบ้านให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยขยายตลาดการส่งออกผ่าน FTA ในกลุ่มประเทศที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก เช่น กลุ่มประเทศอาหรับ รวมทั้งการเจรจา FTA ไทย-อียู ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ซึ่ง กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ เร่งเจรจา เพื่อปิดจบ FTA ฉบับต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

“เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ได้หารือกับH.E. Mr. HAYASHI Yoshimasa เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในรัฐบาลญี่ปุ่น และ Mr.Taro KONO สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดคานางาวะ อดีตรัฐมนตรีดิจิทัลของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในญี่ปุ่น กับประเด็นความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่ ที่ญี่ปุ่นกำลังสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) เพื่อให้ไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของญี่ปุ่น และได้มีโอกาสพบหารือกับ ภาคเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่นหลายราย เช่น บริษัท NTT Corporation บริษัท TOYOTA TSUSHO บริษัท GS Yuasa International บริษัท Hitachi และ บริษัท Mitsubishi Electric Corporation เพื่อเชิญชวนขยายการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยตนพร้อมสนับสนุนการลงทุนของญี่ปุ่นและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนใหม่ในไทยอีกกว่า 2–3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเจรจา FTA กับอีกหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อบริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในไทย” นายพิชัย กล่าว

เมื่อคราวเยือนญี่ปุ่น ธ.ค.2567 (1)

ทั้งนี้ ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยล่าสุด  สับปะรดห้วยมุ่นของไทยได้รับขึ้นทะเบียนสินค้า GI ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสินค้ารายการที่ 3 ต่อจากกาแฟดอยช้างและกาแฟดอยตุง ภายใต้ความร่วมมือแลกเปลี่ยนการขึ้นทะเบียน GI 3 + 3 นอกจากนี้ ตนยังได้แสดงความพร้อมที่กระทรวงพาณิชย์จะมีส่วนร่วมใน งาน EXPO 2025 Osaka Kansai ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม 2568 โดยจะมีการจัด Thailand Pavilion นำเสนอศักยภาพของไทยผสมผสานระหว่างการแพทย์สมัยใหม่และการแพทย์แผนไทย การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ รวมถึงสินค้าสมุนไพร เครื่องสำอาง และสปา ซึ่งเป็นการส่งเสริม soft power ไทยสู่สากล

เมื่อคราวเยือนญี่ปุ่น ธ.ค.2567 (2)

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) มีมูลค่าการค้ารวม 48,093.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปยังญี่ปุ่นมูลค่า 21,545.26ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ของเครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ และ การนำเข้าของไทยจากญี่ปุ่นมูลค่า 26,547.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และแผงวงจรไฟฟ้า.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password