‘รมว.พาณิชย์’ มั่นใจสหรัฐฯยุค ‘ทรัมป์ 2’ ส่งผลดีดันยอดส่งออกไทยโตได้แน่!
“พิชัย นริพทะพันธุ์” มั่นใจ “โดนัลด์ ทรัมป์” หวนคืนเก้าอี้ ปธน.สหรัฐฯ เป็นผลดีและจะส่งผลบวกดันยอดส่งออกไทยต่อเพิ่มขึ้นได้แน่นอน ปลื้มหลายประเทศมองไทยด้านบวก สร้างโอกาสทองในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ชี้! มีหลายธุรกิจจ่อเข้าลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวภายหลังประชุมข้าราชการระดับสูง โดยมีพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ทั่วโลก เข้าร่วมผ่านระบบ zoom เพื่อติดตามนโยบายและขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งประเด็นหลักๆ คือ การวิเคราะห์ หลังมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำสหรัฐฯ โดยการนำของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เพื่อเตรียมรับมือถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทัังนี้ เชื่อว่า ไทย จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่ต้องวางตัวเป็นกลางอย่างเหมาะสม และไม่เลือกข้าง เพราะแน่นอนว่า สหรัฐฯ จะกีดกันสินค้าจากจีน และจะเป็นโอกาสของไทยในการเพิ่มการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทดแทนในส่วนนี้ จึงต้องรักษาสมดุลให้ดี ระหว่างสหรัฐ และจีน
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กำลังทำงานด้านต่างประเทศเป็นหลัก เดินทางเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA เพื่อขยายการค้าการลงทุน โดยเฉพาะ FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ เอฟตา ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ ใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของไทย และจะนำไปสู่การ สรุปผลการเจรจา FTA ไทย-อียูด้วย ไปจนถึงการลงทุน ที่ขณะนี้กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยต่อเนื่อง จึงอยากเห็นเรื่องการลงทุน ของสหรัฐฯ ในไทยเพิ่มขึ้น เพราะหากสหรัฐ ลงทุนผลิตสินค้าในไทย ก็จะไม่มีผลกระทบกับการส่งออกไปยังสหรัฐแน่นอน รวมทั้งไม่ต้องกังวล ว่า สหรัฐฯ จะใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทย เพราะเป็นประเทศที่เกิดดุลการค้า เพราะหากไทยสร้างผลประโยชน์ให้กับสหรัฐได้ เค้าก็จะไม่กังวลกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม จึงอยากให้มีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ยกระดับประเทศ ให้แหล่งส่งออกอาหารของโลก และเป็นศูนย์กลางการลงทุนเข้าประเทศ ส่วนกรณีมีความกังวลว่าสินค้าจีนที่จะส่งออกไปสหรัฐน้อยลง แต่จะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นนั้น นายพิชัย ยืนยันว่า มีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลเรื่องนี้ไว้แล้ว และเชื่อว่ารับมือได้ รวมถึงอยากให้จีนเข้ามาลงทุนในไทยมากกว่า โดยข้อมูลล่าสุด ช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 ไทย มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมกว่า 40,611 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 18.2%เป็นต้น.