ยุทธศาสตร์แห่งโอกาส : เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ – นักรบส่งออกหน้าใหม่   

“รัฐบาลเศรษฐา” ไม่หวังพึ่งพิงเครื่องยนต์เศรษฐกิจ “ภาคการท่องเที่ยว” เพียงลำพัง เกรงจะเสี่ยงเกินไป? จึงมุ่งเน้นผลักดัน-ส่งเสริม “ภาคการส่งออก” และ “การลงทุนจากต่างประเทศ” ถือว่ามาถูกทาง! ไหนๆ จะก็รุกเพิ่มบทบาท “ทูตพาณิชย์” ในเวทีการค้าโลกแล้ว ก็เชื่อมต่อกับแผนสร้าง “นักรบส่งออก-SMEs” ของ EXIM BANK เสียเลย

ต้นสัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งเขียนถึง…โอกาสของประเทศไทย ในมิติการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกวันนี้…ได้กลายเป็น เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ “ตัวหลัก” สำคัญเพียงหนึ่งเดียว…ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจีดีพีของไทย ไปแล้ว

วันรุ่งขึ้น…มี มติ ครม.สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ผ่าน..นโยบาย “วีซ่าฟรี” ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน เริ่มใช้ 25 ก.ย. 2566 – 29 ก.พ. 2567 รวมถึง การผ่อนปรนเงื่อนไข และขั้นตอนการเข้าประเทศสำหรับการจัดแสดงสินค้า และนิทรรศการ โดยที่รัฐบาลคาดหวังจะช่วยสร้างรายได้ และสร้างงานให้กับประชาชนจำนวนมาก

คุณสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลอยากเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอีก  30% ภายหลังจากที่มี นโยบาย “วีซ่าฟรี”

พูดตามตรง สังคมไทยจะคิดอย่างไรไม่รู้? แต่สำหรับผม…ไม่สนใจเรื่องที่รัฐบาลจะสูญเสียงบประมาณในการทำ “วีซ่าฟรี” เพราะมันเทียบไม่ได้กับเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามายังประเทศไทย

หมอชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล แถลงซ้ำ! ถึงตัวเลขประมาณเป้าหมายเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในปี โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายว่า ทั้งปี…จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยราว 25 ล้านคน หรือเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน

สอดรับกับ ข้อมูลตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.2566) ที่ กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สะท้อนภาพให้เห็นได้ชัด! กล่าวคือ…ตลอด 7 เดือนนั้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมายังประเทศไทยรวมกันราว 15 ล้านคน เฉลี่ยต่อเดือน 2.2 ล้านคน ตรงตามเป้าหมายที่รัฐบาลอยากเห็น

นักท่องเที่ยวจีน…ยังพอเข้าใจได้ แต่กับชาวคาซัคฯ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ว่า…คนจากประเทศเอเชียกลางแห่งนี้ มีแนวโน้มการเติบทั้งในเชิงจำนวนนักท่องเที่ยว และเม็ดเงินค่าใช่จ่ายต่อหัว…แพงติดอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย

ส่วนตัว…ผมเชียร์นโยบาย “วีซ่าฟรี”

คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ที่เพิ่งไปร่วมงานของเครือไทยรัฐ THAIRATH FORUM 2023 FUTURE PERFECTเปิดมุมคิด พลิกอนาคต” เมื่อช่วงสายวันที่ 18 ก.ย.2566 ก็พูดถึงเรื่อง “วีซ่าฟรี” และย้ำว่า…รายได้จากการท่องเที่ยว เกิดขึ้นได้ง่ายและเร็ว ถือเป็นเรื่องหลักในระยะสั้นที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมในเรื่องนี้

แถมวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯเศรษฐา ยังจะพารัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคเหนือ “เชียงใหม่ – เชียงราย” และหนึ่งในนั้น…มีเรื่องขยายเพิ่มเวลาการบิน และการสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2

ผลต่อเนื่องจาก นโยบาย “วีซ่าฟรี” ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและที่พักใน จ.เชียงใหม่ บอกกับนายกฯเศรษฐา ว่า…ขณะนี้ เริ่มมีการจองที่พักของนักท่องเที่ยวชาวจีน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

ข้างต้น…คือ ภาพแห่งอนาคตและการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวข้องของ “รัฐบาลเศรษฐา”

แต่ในความเป็นจริง! รัฐบาลไทยจะคาดหวังและพึ่งพา เฉพาะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ โดยโฟกัสไปที่ภาคการท่องเที่ยวอย่างเดียว มันก็เสี่ยงเกินไป? ดูตัวอย่างเมื่อครั้งเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ช่วงปี 2563-2565 นั่นปะไร

เกือบทั้งหมดของทุกแหล่งท่องเที่ยว ทั่วทุกภาคของประเทศ ไม่เว้นแม่แต่…กรุงเทพมหานคร เงียบเหมือนป่าช้า! ธุรกิจร้านรวง ตั้งแต่ระดับ…ไมโคร ยันห้างใหญ่โตระดับ อภิมหาอาณาจักรธุรกิจเจ๊งยับไม่เป็นท่า!!!

ดังนั้น “รัฐบาลเศรษฐา” จึงไม่ควรวางใจ..ยกให้ภาคการท่องเที่ยวเป็น “พระเอก” เพียงคนเดียว

ผมรู้สึกเบาใจ! กับ…แนวคิดเชิงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่แม้จะโฟกัสภาคการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ลืมที่จะสร้างพระเอก…เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวอื่นๆ ควบคู่กันไป

มี 2  เรื่องที่ “โดนใจ” หนึ่ง…คือ การดึงเอาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อีกหนึ่ง…คือ การผลักดันภาคการส่งออก ที่ติดลบต่อเนื่องมายาวนาน ให้กลับมาทะยานใหม่อีกครั้ง!

แม้จะเป็นเรื่องยาก นักวิชาการและนักวิเคราะห์ทุกสำนัก ต่างเห็นตรงกันว่า…อีกนานกว่าภาคการส่งออกจะฟื้นตัว! เหตุผลหนึ่งคือ เศรษฐกิจโลกที่มีแต่ทรงกับทรุด สอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของไทย ต่างก็ประสบชะตากรรมเดียวกับเศรษฐกิจโลก

กระนั้น แนวคิดที่จะผลักดัน “พระเอก” เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวอื่นๆ นอกเหนือจาก…ภาคการท่องเที่ยว สำหรับผมถือว่า…มาถูกทางแล้ว!

ก่อนหน้านี้ นายกฯเศรษฐา เคยพูดถึง…การต่อยอดบทบาทของ “ทูตการค้า” ที่ประจำการอยู่ใน 56 ประเทศทั่วโลก เรื่องนี้…สำคัญมากๆ หาก “ทูตการค้า” เก่ง และรัฐบาลสนับสนุนอย่างเต็มสรรพกำลัง โอกาสที่สินค้าไทยจะไปได้สวยในเวทีโลก ก็ย่อมมีสูง!

ยิ่ง มติ ครม. รอบเดียวกันนี้ ก็เพิ่งจะเห็นชอบในการจัดตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟท์เพาเวอร์แห่งชาติ ที่มี นายกฯเศรษฐา ทำหน้าที่เป็นประธานฯ และมี คุณอุ๊งอิ๊ง – แพทองธาร ชินวัตร เป็นรองประธานฯ สิ่งนี้…จะช่วยหนุนนำสินค้าไทย ที่ผูกโยงกับ “ซอฟท์เพาเวอร์” ของไทย ไปด้วยกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยในเวทีการค้าโลก

“ทูตการค้า” ขึ้นตรงกับ…กระทรวงพาณิชย์ ที่มี คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กำกับดูแล หากสามารถสนธิการทำงานได้กับ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ คุณปรานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ทั้งทางด้านการทูตและการค้าระหว่างประเทศ แถมยังอยู่ร่วมพรรคเพื่อไทย ด้วยกันอีก

ตรงนี้…ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาคส่งออกส่งของไทยเป็นอย่างยิ่ง

อีกเรื่องที่ผมขออนุญาตนำเรียนเสนอ…ควบคู่กันไปถึงแนวคิดและแนวทางการสร้าง “นักรบส่งออก” ของ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM BANK) ในยุคของ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการหนุ่มไฟแรง! ที่พยายามส่งเสริมและสนับสนุน ด้วยหวังจะ ยกระดับ “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย” เปลี่ยนจาก…ผู้ผลิตและจำหน่ายในประเทศ อัพเกรดเป็น “ผู้ส่งออก” ในอนาคตอันใกล้

ตัวเลขที่น่าตกใจ ก็คือ ทุกวันนี้ เรามี…ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มากกว่า 3.1 ล้านราย แต่มีเพียง 1% หรือ 3 หมื่นกว่ารา ยที่สามารถเติบโตเป็น “ผู้ส่งออก” ได้ ส่วนใหญ่ 99% ยังคงพึ่งพิงตลาดที่ไม่มีอนาคต

ยุทธศาสตร์ “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ด้วยการผลักดันให้ “เอสเอ็มอีไทย” เติบโตจนเป็น “นักรบส่งส่งออก – หน้าใหม่” จึงถือกำเนิดขึ้นนับแต่ปลายปีที่ผ่านมา

ตั้งเป้าสร้าง “นักรบส่งส่งออก” จาก “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย” เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1 แสนราย!             

นายกฯเศรษฐา มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจระหว่างประเทศ

คุณภูมิธรรม กำกับดูแล “ทูตพาณิชย์” ใน 56 ประเทศทั่วโลก

คุณปรานปรีย์ มีความรู้และประสบการณ์ด้านการทูตและการค้าระหว่างประเทศ

ขณะที่ EXIM BANK ในสังกัดกระทรวงการคลัง ภายใต้การนำของ ดร.รักษ์ ก็มีแผนจะสร้าง “นักรบส่งส่งออก – หน้าใหม่” จาก “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย” ให้ได้ไม่น้อยกว่า 1 แสนราย

ปัจจัยเหล่านี้…หากนำมาบูรณาการเข้าด้วยกัน ประเทศไทยก็น่าจะมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจ ที่เคยไปได้ดี กลับมาดีได้อีกครั้ง และ ภาคการส่งออกของไทยเอง ก็จะได้กลับมาเป็นบวก หลังจากที่ติดลบต่อเนื่องมายาวนานหลายปี

ทั้งหมดของเรื่องนี้…ขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว นั่นคือ…นายกฯเศรษฐา ผู้ที่จะนำพาคนไทย…กลายเป็น “เศรษฐี” คนนี้ นี่เอง.

สุเมธ จันสุตะ

Email : schansuta.com

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password