กลุ่มมิตรผล ยกระดับเกษตรกร ผลักดัน “อีสาน” สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจไทย

“กลุ่มมิตรผล”พัฒนาโครงการขอนแก่น อินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ (KKIC) ศูนย์กลางแห่งการพัฒนานวัตกรรมการเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเป้าต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง สร้างความเข้มแข็งและโดดเด่นให้กลุ่มธุรกิจ สอดคล้องเป้าพัฒนาขอนแก่นสู่ Smart City รวมทั้งโอกาสพัฒนาอีสานให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของลุ่มน้ำโขง

กลุ่มมิตรผล และ KKIC ร่วมมือกับองค์กรเอกชนอื่น ๆ หลายแห่งรวมถึงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ พร้อมเดินหน้าผลักดัน ‘อีสาน’ ให้เป็นศูนย์กลางสร้างเศรษฐกิจไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน ผ่านการร่วมจัดงาน “Isan BCG Expo 2022” ภายใต้แนวคิด Collaboration | “ร่วมอยู่ร่วมเจริญ” งานมหกรรมนวัตกรรมยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอีสานและครั้งแรกในประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2565 ณ Khon Kaen Innovation Center จังหวัดขอนแก่น และบริเวณโดยรอบ อาทิ ย่านศรีจันทร์,เทศบาลเมืองนครขอนแก่น, ศาลหลักเมือง, สถานีรถไฟขอนแก่น และถนนไก่ย่าง

โดยจัดแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ผ่านโซนต่าง ๆ อาทิ Creative,Innovative และ Green  ซึ่งมีเป้าหมายหลักที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอีสานประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีหมุนเวียนและเทคโนโลยีสีเขียว เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจยกระดับเทคโนโลยีทางการเกษตรและอาหาร ตลอดจนการท่องเที่ยวและเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจน้ำตาลประเทศไทย พลังงานและธุรกิจใหม่ กลุ่มมิตรผลกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 65 ปี เรามุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจไปพร้อมกับการยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยพัฒนาการทำไร่อ้อยให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน สนับสนุนปัจจัยการผลิตพัฒนาวิธีการปลูกอ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อีกทั้งมีการก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมและการวิจัยมิตรผล และสถาบันการเรียนรู้มิตรผลฯ เพื่อทำหน้าที่ในการพัฒนาเทคโนโลยี วิธีการบริหารจัดการไร่อ้อยแบบสมัยใหม่ (Mitr Phol Modern Farm) อบรมถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทายาทชาวไร่อ้อยให้เป็น Smart Farmer ตลอดจนสร้าง New S-Curve ให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป”

 โดยในระดับชุมชนและครัวเรือน กลุ่มมิตรผลได้ดำเนินการพัฒนาชุมชนผ่านตำบลมิตรผล ร่วมพัฒนา 21 ตำบล ใน 7 จังหวัด โดยมีกรอบเป้าหมายการทำงานที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) มาโดยตลอดโดยมีเป้าหมายหลัก ประกอบด้วย

1.การจัดการชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งส่งเสริมและปรับเปลี่ยนวิธีคิดเน้นเปิดโอกาสให้ร่วมคิด ร่วมทำร่วมวางแผนการพัฒนาชุมชนจากจุดแข็งและทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ผ่านการขับเคลื่อนของกลไกคณะกรรมการตำบล รวมถึงมีการจ้างงานผู้พิการในชุมชน

2.การพัฒนาระบบเกษตรชุมชนและอาหารปลอดภัย ที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตของชุมชนหลายด้าน ทั้งการปลูกอยู่ปลูกกินการแบ่งพื้นที่ทำเกษตรผสมผสาน ลดการพึ่งพิงจากภายนอก มีอาหารที่ปลอดภัยบริโภค รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนมีรายได้เสริมจากการผลิตพืชผักปลอดภัยขายอีกด้วย

3.การพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ที่ส่งเสริมและพัฒนาสินค้าบนพื้นฐานของความถนัด ความสามารถ และทรัพยากรของชุมชนที่มีอยู่ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และเงินหมุนเวียนในชุมชนอย่างยั่งยืน 

4.การพัฒนาด้านการศึกษา โดยเน้นหลักสูตรให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มุ่งเน้นบ่มเพาะทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Learning) และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-Long Learning) เน้นการลงมือทำเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินผ่านโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) 8 แห่ง ใน 6 จังหวัด และโครงการพัฒนาวิชาชีพอาชีวศึกษาทวิภาคี 4 วิทยาลัย

 โดยนำแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนเริ่มตั้งแต่การถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล 7 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการในการเรียนรู้และปฏิบัติแล้วกว่า 10,000 คน รวมไปจนถึงมีการส่งเสริมให้นำแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ อาทิ การสนับสนุนกลุ่มปลูกผัก ซึ่งมีสมาชิก 250 ครัวเรือน มีแหล่งปลูกผัก 19 แห่ง ผ่านการรับรองมาตรฐานผักปลอดภัย (GAP) มีการใช้ปุ๋ยชีวภาพ เตาเผาถ่านน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช และอยู่ระหว่างพัฒนาสู่มาตรฐานผักอินทรีย์ (PGS)

 อีกทั้งได้มีการพัฒนาแหล่งน้ำชุมชนโดยใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตลอดจนพัฒนากระบวนการปลูกผักในโรงเรือนอัจฉริยะเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดการใช้แรงงานคน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และได้มีการจัดตั้งบริษัท ปลูกเพาะสุข จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้มีตลาดรับซื้อที่มั่นคง โดยมีการกระจายสินค้าทั้งช่องทางออนไลน์และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนนับล้านบาทต่อปี   

นอกจากนี้ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน ด้วยการสนับสนุนการนำเศษผ้าที่เหลือทิ้งมาเย็บขึ้นรูปใหม่เพื่อขายให้โรงงานใช้ทำความสะอาดเครื่องจักร ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชนรักษาสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบจากปัญหาขยะ ผ่านโครงการกล่องวิเศษ นำกล่องนมมาแปรรูปเป็นหลังคา เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียน สู่การพัฒนาโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

 “การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ไม่เพียงแต่จะใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมสมัยใหม่ต่าง ๆ เข้ามาช่วยเสริมแต่จะต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือของคนในชุมชนเองที่เรียนรู้การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของชุมชน เพื่อนำมาพัฒนาให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ซึ่งกลุ่มมิตรผลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนตามหลักสากล รวมถึงเป็นองค์กรต้นแบบที่ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรม การกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” นายวีระเจตน์ เสริม.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password