เยียวยาฯ ‘มาตรฐานใหม่?’

(ยุทธศาสตร์ใหม่ด้านอุทกภัย : “รัฐบาล – สตง.” ร่วมปฏิวัติ! ระบบเยียวยาประชาชน)

แผนนัดหารือ“รัฐบาล – สตง.” ในครั้งนี้ คือ “จุดเปลี่ยนสำคัญ!” เปลี่ยนระบบเยียวยาผู้ประสบภัยของไทย จาก “รัฐที่กลัวผิด”สู่ “รัฐที่ช่วยทันทีเมื่อไม่มีทุจริต!” โดยที่เอกสารไม่จำเป็นต้องครบ แต่ต้องโปร่งใส? การตรวจสอบไม่ใช่อุปสรรคที่จะช่วยชีวิตคน รัฐพร้อมเดินหน้าวาง “มาตรฐานใหม่” รับมืออุทกภัยทั่วไทย ฝ่ายบริหารและฝ่ายตรวจสอบ…ได้ทำงานบนฐานข้อมูลเดียวกันอย่างเป็นระบบ
เมื่อช่วงสายวันนี้ (8 ธ.ค.2568) ณ ห้องโถงรับรองชั้น 1 อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย พร้อม คณะผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย, กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง, สำนักงบประมาณ ฯลฯ
ร่วมหารือกับ คณะผู้บริหารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ภายใต้การนำของ นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง. ก่อนจะเปิดแถลงข่าวถึง แนวทางความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมทางภาคใต้และแนวทางการตรวจสอบของ สตง.
โดยการแถลงข่าวร่วมระหว่าง รัฐบาลและสตง. ในครั้งนี้ มีนัยทางยุทธศาสตร์ที่ลึกกว่าการอธิบายตัวเลขเยียวยา เพราะมันคือ ความพยายาม “เชื่อมต่อ” ระหว่าง “ระบบบริหาร” เข้ากับ “ระบบตรวจสอบ” เพื่อให้ทำงานบนฐานข้อมูลเดียวกัน
แลกเปลี่ยน “กระบวนทัศน์” ของรัฐไทยที่เคยแยก “ฝ่ายปฏิบัติ” กับ “ฝ่ายตรวจสอบ” ให้กลับมาทำงานในทิศทางเดียวกัน
อย่างน้อย…ก็ในสถานการณ์เกิดวิกฤตน้ำท่วม! และไม่เฉพาะพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางกรอบไปถึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันในอนาคต
ภายใต้ โครงสร้างใหม่ นี้ รัฐบาลมอบหมายให้ 3 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย ปภ., กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ หารือร่วมกันเพื่อจัดทำ “แนวปฏิบัติกลาง” สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ
เมื่อได้ข้อสรุป…จึงจะนำไปหารือกับ สตง. เพื่อเสนอให้ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) พิจารณาออกเป็นระเบียบถาวร อีกที
แนวทางนี้…สะท้อน “วิธีคิด” เชิงระบบ! ของ รองนายกฯบวรศักดิ์ ในฐานะ ประธานคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ที่ “รัฐบาลอนุทิน” ตั้งขึ้นมาไม่นานนัก และเป็นเขาที่มองว่า…
การสร้างมาตรฐานถาวร ต้องเริ่มจากกลไกปกติ ไม่ใช่…การใช้อำนาจทางการเมือง!!!
“ทุกประเทศต่างก็ถอดบทเรียนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปวางแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ได้เกิดซ้ำรอยขึ้นมาอีก ที่ประเทศไทยก็มีหลายหน่วยงานที่ถอดบทเรียน แต่ไม่ได้นำมาใช้อย่างจริงจัง ครั้งนี้ ผมยืนยันจะไม่นำบทเรียนที่ถอดจากวิกฤตที่เกิดขึ้น มาตั้งไว้บนหิ้งอีกต่อไป และจะนำมาใช้เพื่อเป็นแนวทางป้องกันและแก้ไขในทุกปัญหาที่เกี่ยวกับอุทกภัยน้ำท่วมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย
โดยจะจัดทำ “คู่มือ” ทั้งที่เป็นเอกสาร, อินโฟกราฟฟิก, พาวเวอร์พ้อยท์, วิดิทัศน์ ฯลฯ แจกจ่ายไปยังประชาชนให้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขาได้มี “คู่มือ” ในการเอาตัวรอด อย่างน้อยก็ควรรู้ว่า…จะต้องทำอะไร? อย่างไร? หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา และมีที่ใดในบริเวณใกล้เคียง ปลอดภัยมากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าไปพักอาศัยเป็นการชั่วคราว” รองนายกฯบวรศักดิ์ ย้ำ
คำอธิบายของเขาในวันแถลงข่าว จึงเป็นมากกว่า…คำชี้แจง หากเป็นการ “ประกาศจุดยืน!” ทางการบริหารที่ต้องการ “สร้างความชัดเจนในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์กรอิสระ” เพื่อไม่ให้ใครถูกกล่าวหาว่า…ใช้อำนาจก้าวล่วงองค์กรอิสระ อย่าง…สตง.
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ปล่อยให้ “ระบบตรวจสอบ” กลายเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น
ด้าน ผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นอีกแกนสำคัญของเวทีนี้ ย้ำว่า…การตรวจสอบยุคใหม่ จะต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของภัยพิบัติ
“เราไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องรอเอกสารครบก่อนจึงจะช่วยประชาชน” เขายังชี้ให้เห็นด้วยว่า… สตง. จะใช้ระบบข้อมูลภาครัฐ ในการตรวจสอบภายหลังแทนเอกสารจากประชาชน
ซึ่งหมายความว่า…หน่วยงานตรวจเงินแผ่นดินในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะปรับจาก “pre-audit” ไปสู่ “post-audit” หรือ จากการตรวจสอบก่อนจ่ายเงิน เป็นการตรวจสอบหลังการช่วยเหลือเกิดขึ้นแล้ว
การปรับเปลี่ยนวิธีคิดเช่นนี้ ถือเป็น…เรื่องที่ใหญ่มากในแวดวงข้าราชการไทย??? เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการส่วนท้องถิ่น มักถูกทำให้เข้าใจว่า…การเบิกจ่ายโดยไม่มีเอกสารครบถ้วน คือ “ความเสี่ยงต่อความผิดวินัย” แม้ไม่มีการทุจริตก็ตาม
ดังนี้ การที่ ผู้ว่าการ สตง. ประกาศออกมาอย่างชัดเจน ว่า หากไม่มีเจตนาแสวงหาผลประโยชน์ ก็จะไม่ถูกเรียกเงินคืน ไม่ถูกสอบย้อนหลัง และไม่ถือว่าผิดวินัย ยกเว้น! มีเจตนาจะทุจริตคอร์รัปชั่น
นี่จึงเป็นการ “ปลดล็อก!” ในเชิงจิตวิทยา…ที่ข้าราชการไทย โดยเฉพาะ “ชั้นผู้น้อย” ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ต่างรอคอยมาแสนนาน
ภายใต้ แนวทางใหม่ นี้ รัฐบาลได้ใช้ “ระบบพร้อมเพย์” เป็นเครื่องมือหลัก ในการรับโอนเงินเยียวยาจากเหตุน้ำท่วมบ้าน ครัวเรือนละ 9,000 บาท และเงินเยียวยาค่าปลงศพๆ ละ 2 ล้านบาท ส่งตรงถึงประชาชน
สิ่งนี้…จะช่วยลดการใช้เงินสด, ลดการแทรกแซงของคนกลาง และลดโอกาสการทุจริตเชิงระบบ
ส่วน ประชาชนที่ยังไม่มี “พร้อมเพย์” รองนายกฯบวรศักดิ์ แนะนำให้เรียงเร่งรัดดำเนินการเปิดบัญชีโดยเร็ว อิงเลขบัตรประชาชน 13 หลักและเบอร์โทรฯมือถือ
นั่นเพราะ…ระบบการเยียวยาในครั้งนี้ ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ “ข้อมูล” จากทะเบียนราษฎร์และธนาคารพาณิชย์ เพื่อเชื่อมโยงถึงกันแบบ “เรียลไทม์”
กรณีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วม รัฐจ่ายเงินเยียวยา 2 ล้านบาทต่อศพ ซึ่งกำหนดชัดว่า…จะต้องเป็นทายาทโดยชอบธรรม หรือคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้อง หากครอบครัวยังตกลงกันไม่ได้ รัฐจะชะลอการจ่ายเพื่อป้องกันการฟ้องร้องภายหลัง
ส่วนกรณี ผู้เสียชีวิตนับถือศาสนาอิสลามที่ต้องฝังศพภายใน 24 ชั่วโมงและไม่สามารถขุดศพขึ้นมาตรวจได้นั้น รัฐจะอนุโลมให้ใช้วิธีที่ “ผู้นำศาสนาในพื้นที่” รับรองการเสียชีวิต แทนเอกสารทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการปรับระบบราชการให้เคารพหลักศาสนา…โดยไม่ละทิ้งความโปร่งใส
ตัวแทนของ ปภ.ตอบคำถามของ “ทีมข่าวยุทธศาสตร์ออนไลน์” ถึงประเด็น…การจ่ายเงินเยียวยา โดยระบุว่า…ในส่วนของเงินฯ 9,000 บาท ตอนนี้ ปภ.โอนเงินไปแล้วกว่า 1 แสนครัว คิดเป็นวงเงินราว 6-7 พันล้านบาท ทั้งนี้ ยังคงเปิดให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ได้ทำการลงทะเบียนต่อไป
ส่วน การจ่ายเงินฯค่าปลงศพ 2 ล้านบาท ที่ผ่านมา ประสบปัญหา…ญาติของผู้เสียชีวิตมาแสดงตนกันเยอะมาก จนระบุไม่ได้ว่าใครคือทายาทที่ควรจะได้รับเงินฯดังกล่าว จำเป็นต้องให้กลุ่มคนเหล่านั้น กลับไปตกลงกันให้แน่นอน ทั้งนี้ ปภ. จะพยายามเร่งรัดการจ่ายเงินฯค่าปลงศพให้เร็วมากยิ่งขึ้น!
ใน มิติยุทธศาสตร์ การประชุมร่วมกันระหว่าง…รัฐบาลและสตง.ในครั้งนี้ จึงถือเป็นการ “เปิด…พื้นที่ร่วม” ระหว่างฝ่ายบริหาร กับฝ่ายตรวจสอบอย่างเป็นทางการครั้งแรก…ในรัฐบาลปัจจุบัน
โดยมี รองนายกฯบวรศักดิ์ คอยทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่าง 2 ฝั่ง
หนึ่ง คือ รัฐบาลที่ต้องการให้ระบบช่วยเหลือเดินหน้าได้จริง อีกหนึ่ง คือ องค์กรอิสระที่ต้องรักษามาตรฐานการตรวจสอบ
ดังนั้น รองนายกฯบวรศักดิ์ จึงเลือกใช้แนวทาง “ร่วมกำหนดกติกา” แทน “ขอให้ลดกฎ” ซึ่งต่างจากการเมืองไทยในอดีต…ที่มักใช้ “อำนาจ” ทางการเมืองบังคับให้หน่วยตรวจสอบ…ทำการผ่อนปรน!!??
ความเคลื่อนไหวนี้…จึงไม่เพียงเป็นการบริหารจัดการอุทกภัย แต่เป็น “แบบฝึกหัด” ของการ “อยู่ร่วมกัน?” ระหว่าง…อำนาจฝ่ายบริหาร กับฝ่ายตรวจสอบ…ในระบอบประชาธิปไตย
นั่นคือ ต่างฝ่ายต่างรักษาบทบาทของตน แต่สามารถแสวงหา “จุดร่วม” บนฐาน “ประโยชน์ของประชาชน” ได้จริง!!!
อย่างไรก็ตาม คำถามต่อไปที่สังคมไทย จะต้องติดตาม นั่นคือ ระบบใหม่นี้…จะขยายผลได้จริงแค่ไหนในระดับปฏิบัติ? เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เข้าใจและมั่นใจพอหรือยังว่าการช่วยเหลือแบบไม่มีเอกสารครบ…จะไม่กลายเป็นบ่วงย้อนกลับในภายหลัง?
ขณะเดียวกัน สตง. เองก็ต้องพิสูจน์ว่า…การตรวจสอบหลังเหตุการณ์ จะยังคงความเข้มแข็งและเที่ยงธรรม ได้อย่างไร???
ในเชิงภาพรวม การแถลงข่าวครั้งนี้…เป็นมากกว่าการประกาศนโยบาย เพราะมันคือการ “ประกาศแนวคิดใหม่ของรัฐไทย” ที่ยอมรับว่า…
ความล่าช้าในการช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่ปัญหาทรัพยากร แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างการบริหารและระบบตรวจสอบที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของภัยพิบัติ
การที่รัฐบาลและสตง. สามารถมานั่งข้างกันบนเวทีเดียวกัน และพูดภาษาเดียวกันได้ จึงถือเป็น “จุดเริ่มต้น!” ของสิ่งที่อาจเรียกว่า “รัฐแห่งความไว้วางใจ” ต่อกันได้…
ในท้ายที่สุด บทพิสูจน์จะอยู่ที่ “ผลลัพธ์” ในภาคสนาม ไม่ใช่…คำประกาศในห้องประชุมฯ กระนั้น สัญญาณที่ทุกฝ่ายได้ส่งออกมาในวันนี้ มันก็ชัดเจนมากพอที่จะทำให้เห็น ว่า…
ประเทศไทยกำลังขยับจากยุคของ “รัฐระเบียบ” ไปสู่ “รัฐเพื่อประชาชน” ซึ่ง…ความถูกต้องของกฎระเบียบและความเมตตา? ไม่จำเป็นต้อง “สวนทาง” กันอีกต่อไป!!!.






