แต้มต่อเลือกตั้ง

“คนละครึ่ง พลัส” กลายเป็น…ยุทธวิธีสำคัญ! ในเกมการเมืองรอบใหม่ ของ “รัฐบาลอนุทิน” ช่วงโค้งก่อนเลือกตั้ง 2569 ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจริง! สัมผัสได้จริง! ของประชาชนและร้านค้ารายย่อยทั่วไทย ย่อมกลายเป็น “แต้มต่อสำคัญ” ในทางการเมือง พร้อมขยาย “แรงดูด” ที่ทรงพลัง ในจังหวะขับเคลื่อนการเมืองยามนี้อย่างที่สุด!!!

นโยบายการเมือง…นาทีนี้ คงไม่มีอะไรจะสัมฤทธิ์ผลได้เกิน…โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กำลังเปลี่ยนจาก…มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปสู่การเป็น “ยุทธศาสตร์หาเสียง” โดยปริยาย

เหตุเพราะเป็น…นโยบายที่ “ตอบโจทย์พื้นฐาน” ของประชาชนได้ทันทีและชัดเจน!!!

“ผู้ใช้” คือ ประชาชนทั่วไปกว่า 19 ล้านคน และ “ผู้รับผล” โดยตรง อีกชั้น คือ ร้านค้ารายย่อยเกือบหนึ่งล้านราย

ผลลัพธ์ของโครงการฯ จึงไม่ต้องรอการวิเคราะห์เชิงสถิติ, ไม่ต้องรอรอบบัญชี, ไม่ต้องรอรายงานชุดใหญ่ แต่สามารถสัมผัสได้ในทุกวัน…ผ่านการใช้จ่ายจริงในระบบ

ผู้คนซื้อของได้มากขึ้น, ร้านค้าไหลเวียนเงินมากขึ้น, ชุมชนคึกคักขึ้นทันที! หลังมีเงินอุดหนุนจากรัฐ…เข้าสู่ระบบ!

การสร้าง “ผลลัพธ์” แบบนี้ ในระยะเวลาอันสั้น คือ สิ่งที่…นโยบายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโครงการในรัฐบาลชุดก่อนๆ ยังทำไม่ได้เท่ากับโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”

“รัฐบาลอนุทิน” จึงใช้จังหวะนี้…ขยับขึ้นสู่ “เฟส 2” สานต่อ “โมเมนตัม” สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจ และแรงเหวี่ยงในทางการเมือง

ไม่แปลกที่…นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะออกมาระบุชัดๆ ถึงโครงการฯใน “เฟส 2” ทำนอง…ตั้งใจ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเจาะกลุ่มตกสำรวจให้มีสิทธิใหม่ พร้อมเพิ่มวงเงินเป็น 4,000 บาทต่อคน

เขากล่าวว่า “ถ้าใครตกสำรวจในเฟสแรก ก็ให้สมัครใหม่ในเฟส 2 เดิมทีให้ 2,000 บาท ก็ปรับเป็น 4,000 บาท เพื่อไม่ให้ใครตกค้าง และเป็นงบที่เตรียมไว้แล้ว”

คำกล่าวข้างต้น…สะท้อนการ “วางตำแหน่งทางการเมือง” ที่ชัดเจนของรัฐบาล ว่า…ไม่เพียงให้เงินประชาชน แต่ให้ในฐานะ “เครื่องมือ” ทางเศรษฐกิจ ที่ออกแบบเพื่อกระจายรายได้กลับสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

และยังเป็นการ…สร้างท่าทีของความรับผิดชอบของรัฐที่พร้อม “ดูแลคนที่พลาดในรอบแรก” อย่างมีเหตุผล!!??

ในเชิงเศรษฐกิจ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้ภาพรวมชัดเจนมากขึ้น ว่า…โครงการนี้ กำลังช่วยพยุงความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี โดยเม็ดเงินผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส – เฟสแรก” พุ่งกว่า 45,000 ล้านบาทในเวลาอันสั้น และช่วยขับเคลื่อนจีดีพีไตรมาส 4 ให้เติบโตมากกว่า 0.6%

พร้อมผลักดันให้…ร้านค้าขนาดเล็ก เริ่มกลับมามีกำไรจริง

รองนายกฯเอกนิติ ย้ำว่า…“เม็ดเงินกระจายออกไปทั้งภูมิภาค ไม่ได้อยู่แค่ในเมืองใหญ่ นี่คือผลที่เกิดขึ้นแบบหลายรอบ พร้อมกับมาตรการบัตรสวัสดิการและเที่ยวดีมีคืน ทำให้เศรษฐกิจฐานรากตั้งหลักได้จริง”

นี่คือ…คำยืนยันระดับรัฐมนตรี ที่สะท้อนว่า…“คนละครึ่ง พลัส” ไม่ใช่เพียง…โครงการแจกเงิน แต่เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ “เสริมสภาพคล่อง” ให้กับผู้บริโภค และช่วย “ขยายยอดขาย” ให้กับร้านค้าทั่วประเทศ อย่างตรงจุดที่สุด!

รัฐบาลยังเสริมด้วยอีก “หนึ่งยุทธวิธี” ที่น่าสนใจ คือ การเพิ่มแรงจูงใจให้ร้านค้าเข้าร่วมการพัฒนาทักษะ (Upskill–Reskill) และให้รัฐอัดฉีดเพิ่มอีก 20% จากยอดขายที่เกิดจากส่วนรัฐร่วมจ่าย สูงสุด 2,000 บาทต่อร้านค้า

โครงการ Upskill–Reskill นี้ มีเป้าหมายกว่า 400,000 ราย และดึงร้านค้าเข้ามาเรียนทักษะการขาย การตลาดดิจิทัล การบริหารร้านค้าผ่าน Depa และเครื่องมือ AI รวมถึงการอบรมทางการเงินผ่านธนาคารออมสิน

นี่คือ…การ “ยกระดับ” ร้านค้าที่ไม่เคยได้รับโอกาสเช่นนี้มาก่อน และทำให้ “คนละครึ่ง พลัส” กลายเป็นแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนา “โครงสร้างเศรษฐกิจรายย่อย” มากกว่า…จะเป็นเพียงนโยบายประชานิยมทั่วไป

เมื่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ “จับต้องได้!” แบบนี้ ผลในทางการเมือง…จึงชัดขึ้น! อย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะใน…การเมืองสมัยใหม่ “คะแนนนิยมบนพื้นฐานประสบการณ์ตรง!” มีน้ำหนักมากกว่า…คำสัญญาที่ไม่รู้จะเป็นจริงหรือไม่?

“คนละครึ่ง พลัส” มีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง…ที่พรรคอื่นเข้าถึงยาก เพราะ…ประชาชนรู้จักโครงการนี้เป็นอย่างดี เคยมีประสบการณ์ที่ดี และเห็นผลทันที!!!

การสานต่อโครงการเดิมที่ได้ผล จึงให้ความรู้สึกต่อประชาชน ว่า…รัฐบาลอนุทิน ได้ทำงานต่อเนื่อง ไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นโครงการใหม่…ที่อาจสร้างความเสี่ยงสูง และเป็นภาระด้านภาษี หรือสร้างหนี้สาธารณะให้มากเกินไป เหมือนบางโครงการของรัฐบาลชุดก่อนๆ

นี่คือ…ความต่าง! อย่างชัดเจน จากนโยบายอื่น…ที่อาจต้องใช้งบประมาณมหาศาล เช่น กรณี “ดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า…ในการดำเนินงาน และกลายเป็น “จุดอ่อนสำคัญ” ของอีกพรรคเพื่อไทย!!!

พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ “แกนนำรัฐบาล” จึงมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง??? เพราะไม่ต้อง…เริ่มหาเสียงด้วยแนวคิดใหม่ แต่สามารถสร้าง “ผลลัพธ์เชิงบวก” ที่ประชาชน…ใช้มือสัมผัสได้ทุกวัน!

นี่คือ “คะแนนนิยมเชิงประจักษ์” ซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุด! ในสนามเลือกตั้งจริง!!!

ผู้ใช้ “คนละครึ่ง พลัส” ในวันนี้ คือ…ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้

ร้านค้าที่ขายของได้เพิ่มในวันนี้ คือ กลุ่มคนที่รับรู้ว่า…รัฐบาลได้ทำให้พวกเขาอยู่รอด ในช่วงเศรษฐกิจยากลำบาก และหากร้านค้าสามารถ “พัฒนาทักษะ” ไปสู่…การขายออนไลน์ หรือบริหารร้านได้ดีขึ้น!!!

สิ่งนี้ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า…รัฐบาลไม่ได้ช่วยแค่ระยะสั้น แต่ช่วยให้พวกเขาเติบโตได้จริงในระยะยาว

ทว่า “คนละครึ่ง พลัส” เอง ก็มีความเสี่ยง! เช่นกัน หากถูกใช้เป็น…เครื่องมือหาเสียง อย่างเดียว โดยไม่วางแผนความยั่งยืนด้านการคลัง

กระทั่ง อาจถูก “ตั้งคำถามกลับ” ในระยะยาว ว่า…เป็นเพียงมาตรการสร้างคะแนนนิยมชั่วคราวหรือไม่???

แต่หากรัฐบาล…กำกับดูแลโครงการอย่างโปร่งใส อธิบายที่มาของงบประมาณอย่างชัดเจน และแสดงเป้าหมายว่า…กำลังสร้าง “ฐานเศรษฐกิจรายย่อย” ให้แข็งแรงขึ้น

โครงการนี้…ก็จะยืนได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไม่มีจุดให้ต้องสะดุด!!!

ทั้งนี้ เมื่อมองไปยังพรรคการเมืองอื่นๆ ใน “แกนหลัก” ของการเลือกตั้งรอบใหม่ พบว่า…มีความท้าทายที่ชัดเจนขึ้นตามมา???

ในส่วนของ พรรคประชาชน (ร่างเงาใหม่ของพรรคก้าวไกล) แม้จะมี…ฐานคนรุ่นใหม่แข็งแกร่ง แต่ยัง “ขาด” นโยบายปากท้องที่ให้ผลทันที ในแบบที่ “คนละครึ่ง พลัส” ทำ…

และต้องแข่งขันด้วย วิสัยทัศน์ระยะยาว…มากกว่าการแข่งขันด้าน “กำลังซื้อวันนี้”

ส่วน พรรคเพื่อไทย ยังต้อง “แบกรอยแผล” จาก…โครงการดิจิทัลวอลเล็ตฯ และเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ที่ในนั้น “ซุก” บ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย เอาไว้

แต่ทั้ง 2 โครงการ “เรือธง” มัน…ไม่เกิดขึ้นจริง!

ทำให้ต้อง มองหา…นโยบายใหม่? ที่ทั้งเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเชื่อมโยงกับความคาดหวังของประชาชนในเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้

บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์! จาก “คนละครึ่ง พลัส” คือ…การเมืองยุคนี้ “ตัดสินด้วยผลลัพธ์” มากกว่า…การใช้วาทกรรมในทางการเมือง???

ประชาชนในวันนี้…ต้องการ “นโยบาย” ที่กระทบชีวิตจริง! ในเวลาอันสั้น แต่ต้องมี “เป้าหมายยั่งยืน” ในระยะยาว

พรรคการเมือง…ที่เสนอแนวคิดล้ำสมัย? แต่ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริง! ย่อมก่อความเสี่ยง! ที่จะเสียพื้นที่ให้กับพรรคการเมืองที่ทำงานอย่างเป็นระบบ และทำต่อเนื่อง!!??

พรรคการเมืองใด? ที่อยากแข่งกับ “คนละครึ่ง พลัส” จำเป็นต้อง….สร้างนโยบายใหม่! ที่ “ให้ผลเร็ว” แต่ยัง “วางฐานมั่นคง” ในเวลาเดียวกัน

ซึ่งก็…ไม่ใช่เรื่องง่าย! สำหรับหลายพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้

ท้ายที่สุด “คนละครึ่ง พลัส” ที่ได้ รองนายกฯเอกนิติ และทีมงานกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของ “ปลัดฯบัด” นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง คอยเป็น “แบ็กอัพ” ให้เต็มๆ จึงกำลังกลายเป็น “โมเดลใหม่” ของ…นโยบายสาธารณะไทย

ที่ผสานผลลัพธ์ระยะสั้น และความเชื่อมั่นระยะยาว เข้าด้วยกันในจังหวะที่เหมาะสม

ไม่แปลก! หาก นายกฯอนุทินและทีมเศรษฐกิจ ใช้โอกาสนี้…อย่างมีกลยุทธ์!!!

พุ่งเป้า…ไม่เพียงแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างภาพรัฐบาลที่ “ทำได้จริง” ในสายตาของประชาชน

เมื่อ ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริง! ในทุกพื้นที่ของประเทศ มาตรการนี้…จึงไม่ใช่เพียงแค่ เครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่เป็น “แต้มต่อ” ทางการเมือง…ที่จับต้องได้ชัดเจนที่สุด! ในศึกเลือกตั้งรอบใหม่

การที่ นายกฯอนุทิน จะวางตัว รองนายกฯเอกนิติ ผู้สร้างผลงานด้านเศรษฐกิจ จนเป็นที่ประจักษ์! ของสังคมไทย ให้เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดท “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้…

ยิ่งเพิ่มโอกาสและสร้าง “แต้มต่อ” ไปพร้อมๆ กับความสำเร็จในตัวโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”

และในสถานการณ์ที่ “กระบวนการยุติธรรม” กำลังเล่นงาน 2 พรรคการเมืองใหญ่ “คู่แข่ง” ในเกมการเมืองรอบหน้า ยิ่งทำให้…นายกฯอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย โดดเด่นเป็นสง่า…เกินกว่าจิตนาการจะคาดเดาได้!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password