ต้องรอด! เร่งปรับกลยุทธ์การคลัง???


ท่ามกลางแรงกดดันจาก “องค์กรเครดิต” ที่มองไทยด้วยความกังวล! การเดินหน้าปรับแผนยุทธศาสตร์การคลังครั้งใหญ่! ยืนยันเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน! ที่ รองนายกฯเอกนิติ ต้องเร่งส่งสัญญาณวินัยการคลัง “ที่น่าเชื่อถือจริง” สู้สารพันปัญหามากมาย มุ่งลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสอยู่รอดในทางเศรษฐกิจของไทย
หมายด่วน! แทรกกลางระหว่างวัน? เมื่อช่วงบ่าย 3 โมงครึ่ง ของวานนี้ (13 พ.ย. 2568) และเป็น…ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ได้นัดหมายผู้สื่อข่าวฯ ในแบบ ฉุกเฉิน! เพื่อเข้าร่วม การแถลงข่าว…แผนการคลังระยะปานกลาง (MEDIUM TERM FISCAL FRAMEWORK : MTFF)
เรื่องนี้สำคัญมาก!!! ความล่าช้า…เมื่อต้องปล่อยผ่านไปเรื่อยๆ ต่อการ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ของรัฐบาลไทย และกระทรวงการคลัง ในสายตาของนานาชาติ…
ย่อมไม่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของไทย!!??
ยิ่งในสถานการณ์ที่ หลายสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลก ต่างพาเหรด “ลดเครดิต” ของไทย ในวงล้อม “ธุรกิจ/เงินสีเทา” รายรอบประเทศ…อย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว
ยิ่งต้องรีบทำ และทำในทันที! นั่นจึงเป็นที่มาของวาระเร่งด่วน! วานนี้…
การประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังครั้งล่าสุด ถือเป็น…หนึ่งในเวทีสำคัญที่สุดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นับตั้งแต่ สถาบันจัดอันดับเครดิตรายใหญ่ ทยอย “ปรับลด” มุมมองความน่าเชื่อถือของไทย จาก “Stable” เป็น “Negative” แม้ยังคงอันดับเครดิตเดิม แต่สัญญาณเตือนนี้สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงอย่างชัดเจน
ทั้งในมิติของ “รายได้ภาษี” ที่ต่ำกว่าศักยภาพ, ความสามารถในการบริหารภาระหนี้ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงติดอันดับโลกจนเริ่มบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจจริง
ภายหลังการประชุม ดร.เอกนิติ แถลงอย่างตรงไปตรงมาว่า…การประชุมครั้งนี้ สำคัญอย่างยิ่งต่อการวางฐานรากการคลังในระยะยาว เนื่องจากประเทศไทยต้องเผชิญผลกระทบจากการถูกปรับลดแนวโน้มเครดิตต่อเนื่อง โดยรัฐบาลตระหนักดีว่าต้องส่งสัญญาณวินัยการคลังอย่างเป็นรูปธรรมเสียที และไม่สามารถยื้อเวลาเหมือนเช่นในอดีตได้อีกต่อไป
“ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อให้สถาบันจัดอันดับเครดิตและสาธารณชน มั่นใจว่า…เรามีความสามารถในการลดดุลการคลังกลับสู่ระดับ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว” รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ท่ามกลางความกังวลเหล่านี้ ตัวเลขหลายชุดที่ถูกเปิดเผยในเอกสารแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) กลายเป็น เสมือน “ภาพสะท้อน” ความท้าทายครั้งใหญ่ของรัฐบาล
รายได้รัฐบาลสุทธิ ในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ประมาณ 2.89 ล้านล้านบาท และปี 2569 ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 2.92 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1.2% สะท้อนว่า…
รัฐบาลเลือกไม่ตั้งเป้าสูงเกินความจริง! ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่เอื้อมากนัก
ขณะที่ ดุลการคลังปี 2569 คาดว่า…จะขาดดุลประมาณ 8.6 แสนล้านบาท หรือราว 4.4% ของ GDP ตัวเลขนี้ อาจฟังดูไม่รุนแรงนัก แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับ ภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.4% ในปี 2568 และลดเหลือ 2.0% ในปี 2569 ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดว่า…
ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นบาง ๆ ระหว่างความเสี่ยงและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ!!!
แรงกดดันที่สำคัญอีกด้าน ก็คือ ภาระหนี้ภาคครัวเรือน ที่สูงถึง 87.4% ของ GDP ซึ่งกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า…กลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่กดทับกำลังซื้อและทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจภายในอ่อนแรง
ในการแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลได้วางแนวทางผ่าน “ชุดมาตรการปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย” ด้วยการ จัดตั้ง AMC สำหรับหนี้ครัวเรือน มีการใช้ ข้อมูลเครดิตและฐานข้อมูลภาครัฐ มาประเมินความเสี่ยง รวมถึง ความพยายามจะดึงลูกหนี้นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบทางการ
แม้ รองนายกฯเอกนิติ จะประกาศ เป้าหมายระยะสั้น เพียง “กดตัวเลขภาระหนี้ภาคครัวเรือน ให้ต่ำกว่า 87%”
แต่ใน เชิงภาพรวม นี่เป็นแค่ “จุดเริ่มต้น” ของปัญหา ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ไข หากเศรษฐกิจยังเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรเป็น…
ในส่วนของ “หนี้สาธารณะ (หนี้ของภาครัฐ) เอง ก็เป็นอีกหนึ่ง “แรงกดดัน” ที่ต้องจับตามองแบบไม่กระพริบตา แม้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะยังอยู่ระดับประมาณ 63–64% แต่การขาดดุลต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า…อาจขยับใกล้เพดาน 70% ได้อย่างรวดเร็วหากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
รัฐบาลจึงประกาศชัดว่า…จะไม่เพิ่มเพดานหนี้ และจะใช้เส้นทางลดขาดดุลจากระดับ 4.4% ให้ค่อย ๆ ลดลงสู่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572
โดยอาศัย…การจัดระเบียบกฎเกณฑ์การคลัง เช่น การควบคุมมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 อย่างเข้มงวด การกำหนดเพดานงบกลาง และการเพิ่มสัดส่วนงบลงทุนเป็นอย่างน้อย 20% ของงบประมาณประจำปี
ทั้งหมดนี้ คือ สัญญาณที่รัฐบาลตั้งใจส่งให้กับนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับเครดิตทั่วโลก ว่า…ประเทศไทยจะไม่ใช้ “การกู้เงินเป็นคำตอบหลัก” อีกต่อไป แต่จะบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบมากขึ้น!!!
อีกหนึ่ง “มิติสำคัญ” ที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือ…ปัญหา “ทุนเทา–ธุรกิจนอกระบบ” ซึ่งกำลังกลายเป็น “เงามืด” ที่คอย “กัดกร่อน!” ฐานรายได้ของรัฐอย่างเงียบๆ!!??
การที่ สัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบอาจสูงถึง 40–50% ของ GDP สะท้อนว่า…มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลออกจากระบบภาษี ทำให้รัฐเก็บรายได้ภาษีได้เพียง 14–15% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าประเทศในระดับรายได้ใกล้เคียงกันอย่างชัดเจน
ปรากฏการณ์นี้…ยิ่งทำให้ภาครัฐ ต้องพึ่งพาการ “กู้เงิน” เพื่อดำเนินโครงการสำคัญๆ และสร้างภาระทางการคลัง ที่ “ตึงตัว” ขึ้นเรื่อย ๆ
“ปัญหาทุนเทา” จึงไม่ใช่แค่เรื่องผิดกฎหมาย แต่เป็น…ภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทย…ต้องการงบประมาณเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี พลังงาน และโครงสร้างประชากรสูงวัย ฯลฯ
แม้สถานการณ์ที่ถูก “ตีกรอบ” ด้วยข้อจำกัด ทั้ง ปัญหาหนี้, รายได้ และการเติบโต…จะท้าทายรัฐบาลที่มีอายุแค่เพียง 4 เดือน
กระนั้น ภายใต้การนำของ ดร.เอกนิติ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล” ก็ยังปรากฏ “โอกาสเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัฐบาล…สามารถจะคว้าไว้ได้ หากกล้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง!
เริ่มตั้งแต่…การยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี, การเปิดเผยข้อมูล Tax Expenditure ให้โปร่งใส, การดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สร้างผลิตภาพสูง, การลดบทบาทธุรกิจนอกระบบผ่านเครื่องมือดิจิทัล และการจัดสรรงบประมาณ
ทำให้ทุกอย่าง…สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่เน้น…การเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ ให้ได้โดยเร็ว…
ในเชิงข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศไทย…จำเป็นต้องเร่งขยายฐานภาษี โดยไม่เพิ่มภาระกับผู้ประกอบการรายย่อย แต่เน้นการ “ปิดรูรั่ว” และ “ลดการยกเว้นภาษีที่ไม่มีประสิทธิผล”
รวมไปถึง…การพัฒนาระบบข้อมูลการคลังแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงทุกหน่วยงาน เพื่อลดการรั่วไหล, การควบคุมมาตรการกึ่งการคลังของรัฐวิสาหกิจอย่างเข้มงวดเพื่อลดหนี้แฝง, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่
และ “สิ่งสำคัญที่สุด!” คือ การเร่งฟื้นกำลังซื้อของประชาชน ผ่านการแก้หนี้ครัวเรือนเชิงระบบ มิใช่เพียงบรรเทาชั่วคราว
การสื่อสารเชิงรุก! ไปถึง…นักลงทุนต่างชาติและสถาบันเครดิต ก็เป็นอีกปัจจัยที่ รองนายกฯเอกนิติ ต้องใช้ในฐานะ “ตัวแทนประเทศ…ด้านเศรษฐกิจ” จะต้องเร่ง…ส่งสัญญาณ ความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจ ต่อสายตานักลงทุน สถาบันการเงิน และประชาคมโลก
เพื่อเป็น “ภาพจำ” ทางด้านเสถียรภาพ นโยบาย และทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับสากล รองรับเป้าหมายของการอฟื้นความเชื่อมั่นของโลกกลับคืนมาโดยเร็ว
ถึงตรงนี้…การเดินเกม “ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านการคลัง” ของรัฐบาลอนุทินในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การเลือกทางนโยบายตามปกติ???
แต่เป็นเรื่องของ “ความอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจไทย” ในระยะยาว!!!
คำกล่าวของ รองนายกฯเอกนิติ ที่ว่า…“ไทยต้องส่งสัญญาณวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือจริง” จึงเป็นทั้ง คำเตือนและคำมั่นสัญญาต่อสาธารณะ!!??
หาก รัฐบาลสามารถเดินหน้าตามแผน MTFF ควบคู่กับ การจัดการหนี้และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
ประเทศไทย…ก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ และสร้างรากฐานเศรษฐกิจใหม่ที่มั่นคงกว่าเดิม
แต่หากเป็นแค่เพียง…การประกาศนโยบาย โดยไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง! ในท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็วเกินคาด แล้วละก็…
ประเทศไทย…อาจต้อง “เผชิญความเสี่ยง!” ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า…การถูกปรับลดมุมมองเครดิตอย่างไม่ต้องสงสัย!
ระบบเศรษฐกิจเศรษฐกิจไทย จะรอดหรือไม่รอด? ขั้นอยู่กับแผนยุทธศาสตร์ MTFF แล้วว่า…จะทำได้จริงแค่ไหนกัน!!??.


0 Comments