เช็คเปล่า : ตบหน้าคนไทย???


นายกฯอนุทิน” ประกาศปราบสแกมเมอร์ “เซ็นเช็คเปล่า” ให้อำนาจเต็มหน่วยงานรัฐ แต่กลับแต่งตั้งบางคน? ขึ้นตำแหน่งการเมือง ท่ามกลางข้อสังสัย “พัวพัน” คดีสแกม! …นี่คือความเด็ดขาด หรือการตบหน้าประชาชนกลางทำเนียบ? เสียงวิจารณ์นี้ ฉุดความเชื่อมั่นอย่างแรง! หาก การเมืองเดินสวนคำประกาศปราบทุนสีเทา ท่ามกลางวงล้อม “สแกมเมอร์อาเซียน” อาการ “ผิดจังหวะ” ทางศีลธรรม อาจเปลี่ยน “เช็คเปล่า” เป็นแค่ “เช็คเด้ง” ทางการเมือง???
“เซ็นเช็คเปล่า!” วลีร้อนๆ และเกิดขึ้นใหม่? จากปากของ “ผู้นำไทย” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ระหว่างร่วมงานบนเวที The Standard Economic Forum
ประโยคเต็มของวลีข้างต้น คือ “รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบสแกมเมอร์เต็มที่” เพียงเพื่อจะสื่อกับสังคมไทย ว่า…รัฐบาลเอาจริงกับอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังบั่นทอนความมั่นคงของประเทศ
คู่ขนานกับคำประกาศที่ยังไม่ทันจาง กลับถูกกลบ! ด้วยเสียงวิจารณ์จากกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรฯ ที่แต่งตั้ง นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ อดีตทนายความของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” หรือ “เบน สมิธ” บุคคลที่ถูกตั้งข้อสงสัยเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจสีเทาและสแกมเมอร์ เข้ามาเป็น “ข้าราชการการเมือง” ตำแหน่ง (ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย) ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี…
อยู่ใน “วงอำนาจใกล้ชิดที่สุด!”
การแต่งตั้งครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็น “การตบหน้าประชาชน” เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ รัฐบาลกำลังรณรงค์ “ล้างบาง” เครือข่ายทุนผิดกฎหมายในภูมิภาค
ขณะที่ นายเบน สมิธ ถูกจับตาจากหลายประเทศว่า…อาจมีเส้นทางธุรกิจเกี่ยวพันศูนย์สแกมในกัมพูชาและชายแดนเมียนมา?
การตั้ง อดีตทนายความของฝรั่งรายนี้ จึงไม่ต่างจากการ ส่งสัญญาณผิดทิศผิดทาง???
เสมือนกำลังพูดเรื่อง “ปราบสแกม” ในเวทีเศรษฐกิจ แต่ “เปิดเก้าอี้” ให้ทนายความฯของผู้ถูกกล่าวหา ได้ใช้ห้องทำงานรัฐบาล
แรงสะท้อนทางการเมืองยิ่งทวีคูณ!!! เมื่อ ส.ส.รังสิมันต์ โรม พรรคประชาชน ออกแถลงข่าวตั้งคำถามว่า “นี่คือการตบหน้าประชาชน?” พร้อมเผยว่า…กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร กำลังตรวจสอบเส้นทางธุรกิจและคดีฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ นายเบน สมิธ
ทั้งยั้งตั้งข้อสงสัยว่า…การแต่งตั้งนี้อาจเป็นการเปิดช่องให้เครือข่ายทุนสีเทาเข้าใกล้อำนาจรัฐมากขึ้นหรือไม่???
กระแสแรง! ถึงขั้นที่สื่อรายงานจากภาพข่าว ที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ว่า… รอ.ธรรมนัส ได้ขึ้นไปหารือกับ นายกฯ อนุทิน “แบบส่วนตัว” ในห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า หลังข่าวแต่งตั้งเผยแพร่ได้ไม่นาน
แม้ นายกฯอนุทิน จะปฏิเสธว่า…เป็นเพียง “การพูดคุยเรื่องงานทั่วไป”
แต่ภาพการเข้าพบ แบบ “ปิดห้องส่วนตัว” ยิ่งทำให้สังคมไทย ต่างพากันเชื่อไปแล้วว่า…การหารือนั้นเกี่ยวพันกับกรณีแต่งตั้งโดยตรง จนเกิดแรงกดดันให้ นายกฯอนุทิน ต้องแสดงจุดยืนชัด! ว่า
“รัฐบาลนี้เลือกข้างไหน ระหว่างความโปร่งใสหรือการประนีประนอมทางการเมือง”
ด้าน นายธนดล ได้ออกมาชี้แจงภายหลังว่า…ตัวเขาได้ถอนตัวจากการเป็น ทนายความฯในคดีของ นายเบน สมิธ ทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
แต่การถอนตัวภายหลัง…ไม่ได้ลบคำถามสำคัญ ว่า เหตุใดระบบคัดกรองบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลถึงปล่อยให้เกิดกรณีเช่นนี้ได้!!??
หากรัฐบาลประกาศจะปราบ “ทุนสีเทา/ดำ” อย่างเต็มที่ การปล่อยให้ “บุคคลใกล้เครือข่าย” ที่ถูกตั้งข้อสงสัย? ได้เข้ามาอยู่ในโครงสร้างการเมืองระดับสูง???
ย่อมเป็นความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ทางจริยธรรม!!! หรือไม่???
ความไม่สอดคล้องระหว่าง “คำประกาศบนเวที” กับ “การกระทำในทำเนียบรัฐบาล” กำลังกลายเป็น “รอยร้าวสำคัญ” ในภาพลักษณ์ของรัฐบาล เพราะไม่เพียง…ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อเจตนารมณ์ปราบสแกม
แต่ยังส่ง ผลด้านลบ! ต่อ “ภาพลักษณ์” ในสายตาประเทศคู่ค้าและหน่วยงานระหว่างประเทศ ที่กำลังจับตามาตรฐานการต่อต้านฟอกเงินของไทย
หากประเทศไทย…ยังปล่อยให้บุคคลที่มี “เงา” เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกม เข้าใกล้อำนาจการเมืองได้โดยง่าย “ความเสี่ยง” ที่ไทย…จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “High Risk” โดย FATF ย่อมเพิ่มขึ้นโดยปริยาย!!??
กรณีนี้…ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเมืองไทย ที่ยังไม่มี “กฎเหล็กผลประโยชน์ทับซ้อน” สำหรับ…ข้าราชการการเมืองใกล้ศูนย์กลางอำนาจ
การแต่งตั้งแบบ “ปิดประตู” จึงกลายเป็น…ช่องว่างให้ทุนและอิทธิพลเล็ดลอดเข้ามาในโครงสร้างรัฐได้ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ
และเมื่อ…ความไว้วางใจต่อรัฐสั่นคลอน วาทกรรม “เช็คเปล่า” ที่นายกฯอนุทิน…ใช้!!! ก็ยิ่ง “ถูกตีความ” กลับว่าเป็น “เช็คที่เขียนด้วยหมึกการเมือง ไม่ใช่น้ำหมึกของความโปร่งใส!!??”
ในเชิงยุทธศาสตร์ หาก รัฐบาลต้องการกู้ความน่าเชื่อถือกลับมา ต้องเริ่มจากการแสดง “มาตรฐานใหม่ทางศีลธรรม” ไม่ใช่เพียงการสั่งสอบแบบลูบหน้าปะจมูก???
นายกฯอนุทิน ควรประกาศ “หลักเกณฑ์ใหม่” สำหรับตำแหน่ง “ข้าราชการการเมืองทุกระดับ” ว่า…บุคคลที่มีประวัติรับงานให้กับ “ผู้ต้องสงสัย” ในคดีร้ายแรง…จะไม่สามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาลได้…
จนกว่าการสอบสวนจะสิ้นสุด!!!
พร้อมตั้ง คณะกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ ตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ได้รับแต่งตั้งทั้งหมดในรัฐบาล
ในระดับนโยบาย รัฐบาล… ภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน จะต้องสร้างกลไกตรวจสอบแบบบูรณาการ ระหว่าง… ปปง. ตำรวจไซเบอร์ และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยง “ข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย” กับ “ข้อมูลบุคคลทางการเมือง”
เพราะหาก “คนในรัฐบาล” มีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มคน ที่ภาครัฐจะต้องปราบเสียเอง แล้ว…ความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า!!!
“เซ็นเช็คเปล่า” จะกลายเป็นเพียง “คำพูดสวยหรู?” หากไม่มีการเติมตัวเลขแห่งความจริงจังลงไปในเช็คนั้น
การแต่งตั้งใครก็ตาม? ที่ “ขัด” ต่อความรู้สึกประชาชนเช่นนี้ มันคงมิต่างจากการ “ตบหน้า” ประชาชนในที่สาธารณะ และเป็นการทดสอบว่า…
รัฐบาลนี้ มีความกล้าพอจะ “ถอนเช็ค” ที่ตัวเองเซ็นเอาไว้ได้หรือไม่???
หาก นายกฯอนุทิน ไม่ลงมือแก้ปัญหาข้างต้น ด้วย “มาตรฐานใหม่…ทางการเมือง” แล้ว “เช็คเปล่า” ที่ตั้งใจใช้ปราบสแกมเมอร์…
อาจกลายเป็น “เช็คเด้ง” ที่สะท้อนความล้มเหลวทางศีลธรรมของรัฐในยุคดิจิทัล ก็เป็นไปได้!!!.






