BAM ผนึก BKA + UOB วางกลยุทธ์ 3 มิติ ‘ทรัพย์ – พัฒนา – การเงิน’ สร้างมูลค่าอสังหาฯครบวงจร

“BAM – BKA – UOB” ผนึก! “พลิกทรัพย์ร้าง เป็นทรัพย์สร้างกำไร” ช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ ลดภาระหนี้สถาบันการเงิน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ชี้! ความร่วมมือนี้ ช่วยเพิ่มความสำเร็จในกลยุทธ์สร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน เผย! ช่วงแรกมุ่ง “รีโนเวท” ทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มั่นใจ! ขายจริง 50-100 หลัง ส่วนดอกเบี้ย รับเรทดี “3% – 3 ปีแรก” ย้ำ! เคสท์นี้ได้สิทธิ์ปรับเพิ่มราคาประเมินสูงใกล้เคียงราคาซื้อขายจริง

วันนี้ (7 ส.ค.2568) ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 อาคาร ยูโอบี พลาซ่า, บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BKA) และ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) (UOB) เพื่อพลิกทรัพย์ร้างเป็นทรัพย์สร้างกำไร
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวว่า ในฐานะที่เป็น ผู้บริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ได้ขยายความร่วมมือใน การพัฒนาและบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่พันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเกิดขึ้นจากเป้าหมายร่วมกันใน การพัฒนาและยกระดับศักยภาพของทรัพย์ที่ BAM ถือครอง เพื่อพลิกทรัพย์ร้าง เป็นทรัพย์สร้างกำไร ให้สามารถกลับเข้าสู่ตลาดในรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อจริง โดยเฉพาะใน กลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน

สำหรับ BKA ในฐานะ Developer จะเข้ามาบริหารและพัฒนาทรัพย์ให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 5 ล้านบาท ขึ้นไป ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดเมืองขยายและเขตชานเมือง โดยคาดว่า เป้าที่จะจัดทำร่วมกับ BKA ภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ขณะเดียวกัน BAM ยังมีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อเป็นการลดภาะหนี้ของสถาบันการเงิน และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อออกมาได้มากขึ้น ซึ่ง UOB จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางการเงินที่พร้อมสนับสนุนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ไม่จำกัดเฉพาะ BKA เท่านั้น แต่ BAM พร้อมเปิดประตูให้กับพันธมิตรภาคเอกชนรายอื่นๆ ที่ลงนาม MOU กับ BAM เข้าร่วมโครงการ โดย UOB จะพิจารณาการสนับสนุนทางการเงินแบบ case by case ตามความเหมาะสมของแต่ละดีล

“นี่คือก้าวสำคัญในการ Re-Activate ทรัพย์ที่หลับใหล ให้กลายเป็นโอกาสที่จับต้องได้ โดย BAM มุ่งมั่นผลักดันให้ทรัพย์ NPA ไม่ใช่เพียง “ภาระ” แต่กลายเป็น “ต้นทุนแห่งโอกาส”ที่ นักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถใช้ต่อยอดได้จริง ซึ่งเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่าง BAM, BKA และ UOB จะช่วยจุดประกายความเป็นไปได้ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งโครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ New Asset Ecosystem ที่เชื่อมโยงผู้ถือทรัพย์ – ผู้พัฒนา – สถาบันการเงิน เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยเปลี่ยนทรัพย์ที่เคยถูกทิ้งร้าง ให้กลับมามีชีวิต สร้างมูลค่า และหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.รักษ์ กล่าวและว่า…
ในครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่า ความร่วมมือนี้ จะสามารถจัดทำทรัพย์จำหน่ายในโครงการฯราว 5-10 ชิ้น (หลัง) และจะเพิ่มยอดเป็น 50-100 ชิ้น (หลัง) ได้ในเร็วๆ นี้ ส่วนพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ ช่วงแรกจะมุ่งเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ซึ่ง BAM มีทรัพย์ในสต๊อกรวมกันกว่า 24,000 ชิ้น ซึ่งทรัพย์ชิ้นใดจะถูกนำมารีโนเวทก่อน ขอให้เป็นการตัดสินของ BKA เพราะถือเป็นมืออาชีพในสายงานนี้ สำหรับส่วนแบ่งรายได้จากความร่วมมือนั้น ทาง BAM ได้มอบให้ BKA นำทรัพย์ดังกล่าว ไปรีโนเวทเพื่อจำหน่ายในช่วงเวลา 6 เดือน หรือหากเป็นทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ก็สามารถปรับเพิ่มเวลาเป็น 9 เดือนอย่างต่ำได้ ทั้งนี้ เมื่อจำหน่ายได้ BKA จะได้คืนเงินในส่วนของราคาทรัพย์กลับมาให้ BAM ในโอกาสต่อไป

ด้าน นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า การจับมือกับ BAM และ UOB ครั้งนี้ ทำให้เกิดโมเดลใหม่ที่ครบวงจร โดย BAM ในฐานะผู้ที่มีทรัพย์ NPA คุณภาพหลากหลาย พร้อมสำหรับการพัฒนา ขณะที่ BKA เป็นผู้ให้บริการโดยการนำทรัพย์ NPA มาปรับปรุง-ฟื้นฟู-ต่อยอด-พร้อมอยู่ รวมถึงทำการขายอย่างครบวงจร ด้าน UOB มีบทบาทในการสนับสนุนด้านสินเชื่อ ส่งผลให้ BKA จะอยู่ระหว่างกลางการเชื่อมต่อ “ทรัพย์-การพัฒนา-การเงิน” เพื่อให้บ้านมือสองกลายเป็น “บ้านพร้อมอยู่” ที่มีศักยภาพสูง และเพิ่มพอร์ตบ้านในมือให้ครอบคลุม และหลากหลายพื้นที่มากขึ้น
อีกทั้งยังเป็น การร่วมมือในการสร้างโมเดลใหม่ที่ครบวงจร โดยร่วมกันพัฒนาทรัพย์ที่เคยถูกมองว่า ไม่มีศักยภาพ หรือ ขายยากได้อย่างถูกวิธี ทำให้ทรัพย์รอการขาย สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้ง ทำให้บ้านมือสองไม่ใช่แค่ทางเลือกสำรอง แต่คือโอกาสใหม่ของตลาด และด้วย “จุดแข็ง” ของ BKA ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการ ปรับปรุงให้บริการบ้านมือสองแบบครบวงจร มาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี ทำให้เข้าใจตลาดและสามารถปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ พร้อมรับประกันผลงานหลังโอน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานการทำงานของเรา และด้วยสถานะในการเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้ความมั่นใจได้ว่า BKA เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

“การผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการสร้างโมเดลความร่วมมือที่ครบวงจรอย่างแท้จริง จากความแข็งแกร่งของ BAM ในฐานะผู้ที่มีทรัพย์ NPA คุณภาพหลากหลายรอการพัฒนา UOB ทีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสินเชื่ออย่างครบวงจร และ BKA ของเราทำหน้าที่เป็น “แกนกลาง” ในการเชื่อมต่อ “ทรัพย์ – การพัฒนา – การเงิน” เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ และคาดหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถขยายพอร์ตได้เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายพชร กล่าว
ขณะที่ นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าว บ้านในทำเลดี คุณภาพได้ ราคาไม่ไกลเกินฝัน คือสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาในยุคนี้ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์นั้นอย่างเป็นรูปธรรม บ้านมือสองที่ผ่านการรีโนเวทโดยมืออาชีพภายใต้มาตรฐานที่ธนาคารเชื่อมั่น ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น พร้อมความมั่นใจในคุณภาพของบ้านที่พร้อมอยู่อาศัยจริง

“ยูโอบีออกแบบข้อเสนอสินเชื่อพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี และฟรีค่าประเมินหลักประกัน เพื่อให้ลูกค้ามีภาระผ่อนที่คาดการณ์ได้ และสามารถตัดสินใจเป็นเจ้าของบ้านได้ในเวลาที่ใช่ เราเชื่อว่าการปลดล็อกศักยภาพของบ้านมือสอง คืออีกหนึ่งคำตอบสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยในวันนี้” นายยุทธชัย ระบุและว่า…
การนำทรัพย์เก่ามารีโนเวท แม้จะเป็น “บ้านมือสอง” แต่เพราะเป็นโครงการที่มี บริษัทขนาดใหญ่และน่าเชื่อถือ มาร่วมดำเนินงาน ทางธนาคารฯ พร้อมจะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของ “บ้านมือสอง” ทั่วไป เบื้องต้นได้ กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เกินร้อยละ 3 ในช่วง 3 ปีแรก ทั้งนี้ แนวคิดในการดำเนินการโครงการดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ซื้อ เพราะจะได้รับการพิจารณาใน การประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อขอกู้เงินได้ในอัตราที่สูง สอดรับกับสัญญาการซื้อขายจริง (ราคาตลาด) ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านการเงินที่ทำให้ผู้ซื้อไม่ต้องหาเงินมาใช้เพิ่มเติม (Top up) ในส่วนของราคาประเมินที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป.
