สรรพากรนำพันธมิตร ร่วมพัฒนา AI ‘อัพความสามารถแข่งขัน – เพิ่มประสิทธิภาพบริการ’ มุ่งสู่ระบบ ‘ราชการดิจิทัล’

ผนึก 3 หน่วยงานใหญ่ “กรมสรรพากร + สวทช. + ธนาคารกรุงไทย” ผ่าน MOU ตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านดิจิทัล สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนทุกมิติ หวังยกระดับคุณภาพบริการภาครัฐ รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ “ราชการดิจิทัล” อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารกรมสรรพากร กรุงเทพฯ, กรมสรรพากร ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เข้าร่วม พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนา ต่อยอด และถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ สนับสนุนการให้บริการประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ โดยมี นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร, ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงฯดังกล่าว

นายปิ่นสาย กล่าวว่า กรมสรรพากรมีความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมบริการ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในปี 2568 – 2570 มุ่งเน้นที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี ยกระดับการให้บริการประชาชน และ “เสริมสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้
“การร่วมมือกันในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการขยาย ต่อยอดความร่วมมือ ของกรมสรรพากร สวทช. โดยเนคเทค และธนาคารกรุงไทย ที่ร่วมกันนำเทคโนโลยี AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องภารกิจของกรมสรรพากร และยกระดับภาษีของประเทศ บริการผู้เสียภาษีให้มีศักยภาพในการแข่งขัน และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์” อธิบดีกรมสรรพากร ระบุและย้ำว่า…

นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังเตรียมแผนในอนาคตที่ชัดเจน ในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ทั้งด้าน การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษี และด้านการบริการดิจิทัลต่อผู้เสียภาษีและประชาชน ด้วยเทคโนโลยี AI มาสนับสนุนและเตรียมข้อมูล เพื่อช่วยวิเคราะห์ และตรวจสอบภาษีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น วิเคราะห์พฤติกรรมการยื่นแบบและชำระภาษีเพื่อออกแบบบริการภาษีให้ตรงกับแต่ละบุคคล
“การนำ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับสูง เทคโนโลยี AI บุคลากรด้าน AI และการกำกับดูแลอย่างโปร่งใสตามหลักจริยธรรม AI ภายใต้ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI จาก สวทช. โดยเนคเทค ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับสูงจากธนาคารกรุงไทย เราจะสามารถยกระดับระบบภาษี ให้เป็นระบบที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ มีธรรมาภิบาล และเป็นที่พึ่งของประชาชนโดยยึดประชาชน เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง” นายปิ่นสาย กล่าวสรุป

ด้าน ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวว่า การผนึกกำลังร่วมกับ กรมสรรพากร และธนาคารกรุงไทย ครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากความร่วมมือที่มีมาก่อนหน้า เพื่อร่วมกันนำนวัตกรรมมายกระดับบริการดิจิทัลภาครัฐให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ในยุคที่ AI และ BIG DATA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่ง สวทช. ได้เน้นย้ำถึง ความจำเป็นของการมีเทคโนโลยี AI ของประเทศ หรือ “Localize AI” ที่ถูกพัฒนาให้เข้าใจบริบทของไทยโดยเฉพาะ ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับการให้บริการประชาชนได้อย่างตรงจุด แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลภาครัฐ ป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหลไปยังต่างประเทศ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
“สวทช. โดย เนคเทค พร้อมทำหน้าที่เป็นขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย พร้อมนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะบุคลากร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ที่เป็นของคนไทยเพื่อความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และสร้างต้นแบบการบูรณาการความเชี่ยวชาญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค AI อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ผอ.สวทช. ย้ำ

ขณะที่ นายผยง กล่าวเสริมว่า ธนาคารกรุงไทย มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ กรมสรรพากร และ สวทช. โดยเนคเทค สนับสนุนการพัฒนา “RD Voice Chatbot” ระบบผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะ ให้บริการข้อมูลภาษีด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารกับประชาชน และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับภาครัฐให้เข้าถึงบริการได้ง่าย ขยายการเข้าถึงข้อมูลด้านภาษีให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มให้เท่าเทียม ทันสมัย และเสริมสร้างความโปร่งใสในการให้บริการ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐอย่างเต็มที่ ผ่านความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล โดยธนาคารมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็น “GovTech Enabler” หรือพันธมิตรภาครัฐ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการใช้เทคโนโลยี “อย่างมีความรับผิดชอบ” คำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านความปลอดภัย และความเป็นธรรม เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ในมิติของบริการทางการเงิน จะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลของภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และส่งเสริมให้โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (digital infrastructure) มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น ครอบคลุมกระบวนการทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร แทนที่กระบวนการบนกระดาษอย่างไร้รอยต่อ โดยโครงการนี้ ได้รับการอนุมัติและเห็นชอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนภายในอย่างครบถ้วน ครอบคลุมการประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการทำงานของหน่วยงาน การพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐให้พร้อมต่อยุคดิจิทัล และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงบริการระบบคลาวด์จากธนาคารกรุงไทย

“ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพบริการภาครัฐและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบราชการดิจิทัลอย่างยั่งยืน สามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยฯ กล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านดิจิทัล สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน โดยครอบคลุมทั้ง การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการทำงานของหน่วยงาน การพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐให้พร้อมต่อยุคดิจิทัล และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงบริการระบบคลาวด์ จากธนาคารกรุงไทย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพบริการภาครัฐและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบราชการดิจิทัลอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161.