จับตา “ทักษิณ-เศรษฐา” นัดพบเชียงใหม่ เจรจาดีลใหม่ต่ออายุนายกฯ
“จตุพร” เชื่อ “ทักษิณ-เศรษฐา” นัดพบเชียงใหม่ แจ้งข่าวเจรจาดีลใหม่ขอต่ออายุการเป็นนายกฯ จับตามีนาแรงกระเพื่อมถี่ ชี้ข้อตกลงเดิมอาจพลิก ไม่ราบรื่นได้ช่วงพริบตา ขอ ปชช.อย่านิ่งดูดาย แนะรวมพลังปกป้องประโยชน์ชาติ ยึดมั่นรักษาบ้านเมืองไว้
วันที่ 8 มี.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ ว่า สถานการณ์ในเดือน มี.ค.นี้จะพลิกผันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เสมอ ทั้งเป็นเรื่องง่าย ราบรื่น หรือยาก เพราะการดีลกันมาตั้งแต่ต้นถูกเพิกเฉย จึงพยายามจะขอดีลใหม่เพื่อต่ออายุอำนาจอีกสักระยะหนึ่ง
ส่วนทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางออกออกนอกพื้นที่ควบคุมพักโทษใน กทม.เพื่อไปเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.นั้น ก็เป็นเรื่องปกติที่กรมควบคุมฯ จะอนุญาต หากนักโทษไม่ขออนุญาตจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องถูกจับติดคุกใหม่ แล้วกลายเป็นนักโทษชั้นเลวมากทันที
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การไปเชียงใหม่ของทักษิณ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะกลับจากต่างประเทศแล้วเดินทางไปเชียงใหม่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายกฯ เดินทางไปยุโรปนั้นได้มีโอกาสพบคนไทยบางคนที่มากบารมีคนหนึ่งหรือไม่ เพราะเมื่อกลับมาถึงไทยก็ไปเชียงใหม่เพื่อเตรียมตัวประชุม ครม.สัญจรที่เชียงรายทันที โดยพฤติกรรมนี้ดูเหมือนการเมืองจะราบรื่นดี
“แต่ให้ดูว่าความราบรื่นต่างๆ นั้นได้ซ่อนความผิดปกติไว้มากมาย สิ่งที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วจะเห็นอีกปรากฎการณ์เกิดขึ้น เพราะทุกเรื่องที่ดูว่าง่าย แต่ความจริงสามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น ทั้งเรื่องง่าย เบา ยากลำบาก หรือหนัก หรือปล่อยไปแล้วก็เอาเข้ามาใหม่ได้อีกเช่นกัน เมื่อตั้งแต่ต้นไม่ได้ปฏิบัติไปตามดีล ดังนั้นเดือนนี้จึงน่าสนใจที่สุด”
นายจตุพร ประเมินว่า ในกรณีที่ไม่ง่ายหรือเรื่องราวไม่ราบรื่น อย่างกรณีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจมีการยื่นอุทธรณ์จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือนำคดีใหม่ขึ้นมาเล่นงานอีกก็ได้
ส่วนกรณีนายเศรษฐา อาจจะเผชิญหน้ากับการตรวจสอบคดีทางธุรกิจบางอย่างที่มีเรื่องค้างคาที่ ปปช. และกรณีทักษิณ ไม่แน่อาจจะมีภาพหลุดออกมาประจานเมื่อครั้งอยู่ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยอ้างเหตุกู้ภาพจากกล้องวงจรปิดได้แล้ว ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาได้เสมอ ถ้าบางฝ่ายต้องการทำให้สถานการณ์ยากลำบากขึ้น และอาจจะเกิดอีกหลายปรากฎการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ ประชาชนอยู่ตรงไหนในการรักษาผลประโยชน์ชาติ ยิ่งวันที่ 17 มี.ค.นี้จะครบกำหนดเวลา 30 วันที่ ครม.ให่้ศึกษารายงานของ ปปช.ในกรณีแจกเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และถัดจากนั้นไป ครม.ต้องมีมติจะออกกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านมาแจกหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องพิจารณาการยุบพรรคก้าวไกลอีก ล้วนทำให้สถานการณ์ทางการเมืองกระเพื่อมขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าประชาชนยังไม่ตื่นตัว ก็จะเสียโอกาสในหลายเรื่อง การไปหลงลมปากนักการเมืองแล้วลืมปกป้องผลประโยชน์ชาติในหลายเรื่องจึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล และบางกรณีต้องนำผลประโยชน์ชาติกลับคืนมาให้ได้ทั้งในเรื่องแหล่งพลังงานทับซ้อนและคนรวยครอบครองที่ดินนับล้านไร่
“จึงขอประชาชนอย่าได้อยู่นิ่งดูดาย ต้องมุ่งหวังไปเอาประเทศไว้ เพราะเรื่องอื่นเป็นเรี่องเล็ก ยิ่งทางการเมืองก็จะเกิดความเหลวแหลกอย่างมโหฬาร อาจได้เห็นละครโรงใหญ่ หากประชาชนแข็งแรงแล้ว ไม่ว่าการเมืองแบบไหนย่อมไม่มีความหมายทั้งสิ้น”นายจตุพร กล่าว.