โพล ชี้ คนร้อยละ82 ต้องการ “คนละครึ่ง” 57% อยากให้ “ลุงตู่” ไปต่อ เดินหน้า บริหารบ้านเมือง
‘ซูเปอร์โพล’ ชี้ประชาชน ร้อยละ 82.4 ต้องการ โครงการคนละครึ่ง เป็นภาพจำที่ดีของปชช. และ ร้อย 57 มีความหวังถ้า ลุงตู่ ได้ไปต่อ เพื่อให้แก้ปัญหา เศรษฐกิจ ให้ชาวบ้าน อยู่ดี กินดี
วันที่ 5 ก.พ. 2566 ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าโครงการวิจัย สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ความสำเร็จของ “ลุงตู่ ช่วงวิกฤตชาติ” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,023 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 1 – 4 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95
เมื่อถามถึง ความสำเร็จของ ลุงตู่ ช่วงวิกฤตชาติ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุ โครงการคนละครึ่ง มาเป็นอันดับแรกที่เป็นภาพจำของประชาชน รองลงมาคือ ร้อยละ 80.5 ระบุ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 78.0 ระบุ เปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ร้อยละ 74.8 ระบุ ฟื้นความสัมพันธ์ ไทย – ซาอุฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ การจ้างงานคนไทย ร้อยละ 65.4 ระบุ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น เส้นทาง คมนาคม การใช้พลังงานสะอาด พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ร้อยละ 63.3 ระบุ การช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดย่อม และขนาดกลาง ร้อยละ 62.9 ระบุ นำพาประเทศไทยพ้นวิกฤตขัดแย้งการเมือง สูญเสียน้อยกว่า หลายประเทศ ร้อยละ 62.3 ระบุ ลดความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ และอื่น ๆ ร้อยละ 60.4 ระบุ ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษ ความเสมอภาค โอกาสการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และร้อยละ 58.9 ระบุ แก้ปัญหาทุจริต คอรัปชันจริงจัง ปราบปรามจับกุม ซื้อขายตำแหน่ง เงินใต้โต๊ะ ตามลำดับ
ดร.นพดล กล่าวว่า ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปต่อ พบว่า สูงสุด หรือ ร้อยละ 53.0 คือ ต้องการให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ อยู่ดี กินดี รองลงมาคือ ร้อยละ 52.9 ระบุ ต้องการค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ถูกลง ร้อยละ 52.8 ต้องการค่าน้ำมัน พลังงานเชื้อเพลิงถูกลง ร้อยละ 52.5 ต้องการความปลอดภัยทางไซเบอร์ คอลเซนเตอร์ และโลกออนไลน์ ร้อยละ 52.1 ต้องการ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ร้อยละ 50.2 ต้องการให้แก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 50.1 ต้องการ ความทันสมัย การสื่อสาร ยุคดิจิทัล ร้อยละ 48.7 ต้องการให้แก้ปัญหาบริการสาธารณสุข ร้อยละ 48.5 ต้องการให้แก้ปัญหาทุจริต คอรัปชัน ร้อยละ 46.9 ต้องการให้ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน เพิ่มแหล่งทุน ให้ผู้ประกอบการรายย่อย รายย่อม ร้อยละ 46.8 ต้องการ การศึกษาของบุตรหลานที่ดี มีอนาคตดี ร้อยละ 45.0 ต้องการบัตรลดราคา สินค้าจำเป็นให้ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และร้อยละ 43.8 ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.8 มีความหวัง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปต่อ ในขณะที่ร้อยละ 42.2 เกิดความกลัว ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าโครงการสำรวจ กล่าวต่อว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งใหม่ “โปรโมชั่น บิ๊กตู่” อาจจะขายได้ดีถ้ามาเป็นชุดตามผลสำรวจครั้งนี้ ได้แก่ รื้อฟื้นความจำเรื่อง โครงการ คนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ฟื้นความสัมพันธ์ไทย – ซาอุฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ การจ้างงานคนไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น เส้นทาง คมนาคม การใช้พลังงานสะอาด พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น การช่วยผู้ประกอบการ รายย่อย รายย่อม ขนาดกลาง เข้าถึงแหล่งทุน และการนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง เกิดการสูญเสียน้อยกว่าหลายประเทศ เป็นต้น
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า “โปรโมชั่น บิ๊กตู่” ที่จะตรงเป้า ความต้องการของประชาชนได้แก่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ อยู่ดีกินดี ที่ต้องการมืออาชีพมาเป็นจุดขายเพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีจุดอ่อน หรือ Pain point เรื่องขาดมือเศรษฐกิจที่ดีคู่กาย จึงต้องหามาเสริมเร่งด่วนในช่วงเริ่มต้นของการหาเสียงนี้ ตามด้วย แพ็คเกจโปรโมชั่น บิ๊กตู่ อื่น ๆ ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำถูกลง ค่าน้ำมัน พลังงานเชื้อเพลิงถูกลง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ คอลเซนเตอร์ และโลกออนไลน์ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แก้ปัญหายาเสพติด ความทันสมัย การสื่อสาร ยุคดิจิทัล แก้ปัญหาบริการสาธารณสุข แก้ปัญหาทุจริตคอรัปชัน ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน เพิ่มแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อย รายย่อม การศึกษาของบุตรหลานที่ดีมีอนาคต บัตรลดราคาสินค้าจำเป็นให้ หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ถ้าทำได้เด่น ดี ปัง ๆ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะ ว้าว แวะ เวียน และไหว้วาน ให้ ผู้คนหันมาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินต่อในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หลังการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้.