‘รีเซ็ตระเบียบยุติธรรมใหม่’ เขย่า! เกมอำนาจก่อนเลือกตั้งใหญ่

รัฐบาลเร่งแก้กติกายุติธรรม? ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ กรณี “อภิสิทธิ์” ของผู้ต้องขังที่ทรงอิทธิพลในทางการเมือง สะท้อนคำถามเรื่อง “มาตรฐาน” ความยุติธรรมไทย ที่สังคมยังรอคำตอบ??? แม้ “นายกฯอนุทิน” ปฏิเสธนัยการเมือง แต่แรงกระเพื่อมทางอำนาจ! ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนี้…ย่อมส่งผลต่อทั้งบทบาทของ “อดีตนายกฯทักษิณ” และสมการใหม่ของสนามเลือกตั้งรอบหน้า
การขยับ “ปรับระเบียบ” ของกระทรวงยุติธรรม! ในช่วงเวลาที่ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาเป็น “เงาใหญ่” ทาบทับสนามการเมืองไทย ครั้งนี้ กลายเป็นเรื่องที่ “ไม่อาจตีความ” ในกรอบแคบของ “งานราชการตามปกติ” ได้อีกต่อไป
เพราะการ “แก้กติกายุติธรรม” ในวันนี้…มิได้เป็นเพียงแค่…การแก้ระเบียบ หรือเป็นเพียงแค่เรื่องของเอกสาร แต่มันส่งผลสะเทือนในทางอำนาจและการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ ตามมา…
เพราะมันคือ…การ “ขีดเส้นใหม่” ให้กับ…โครงสร้างอำนาจของประเทศ ในยุคที่การเมือง…ยังไม่สามารถหลุดพ้นจาก “เงื้อมมือ” ของ “อดีตผู้นำ” ที่ทรงอิทธิพลที่สุด! คนหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ
แม้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะยืนยันเสียงแข็ง! ว่า..
“ไม่สกัดใคร ไม่แก้แค้นใคร และไม่ทำแบบที่พวกตนเคยถูกทำ!”
แต่คำปฏิเสธดังกล่าว…กลับสะท้อนน้ำหนักของข้อสงสัย??? มากกว่าทำให้มันคลายตัวลง!!! เพราะในสังคมที่ทุกอย่าง…ถูกอ่านผ่าน “เลนส์การเมือง”
การขยับปรับระเบียบใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ…การคุมตัว การพักโทษ หรือสิทธิของผู้ต้องขังในคดีอาชญากรรมระดับ “อดีตนายกรัฐมนตรี” ย่อมก่อให้เกิดคำถามก่อนเสมอว่า “ใครได้ ใครเสีย” จากกติกาใหม่ที่กำลังจะถูกประกาศใช้นี้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “คดีทักษิณ” ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้เผยให้เห็น “ช่องว่าง” ของระบบกฎหมายไทย! ที่เปิดพื้นที่ให้ “ดุลพินิจ” สามารถขยายอำนาจใหญ่กว่ากรอบของตัวบทได้อย่างน่าอึดอัด???
การรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลานานผิดปกติ การไม่ถูกส่งกลับเรือนจำตามหลักที่ควรจะเป็น การได้สิทธิที่ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ต้องขังคนอื่น
ทั้งหมดนี้…สะท้อน “ความบิดเบี้ยว” ของระบบที่ “ไม่เท่ากัน” ในทางปฏิบัติ แม้กฎหมายจะถูกเขียนให้เท่ากันก็ตาม!!!
เพราะฉะนั้น เมื่อ กระทรวงยุติธรรมประกาศจะ “รีเซ็ตระเบียบ” คำถามแรก ที่ดังขึ้นพร้อมกันในสังคมไทย ก็คือ…นี่คือความพยายามสร้าง มาตรฐานใหม่จริง หรือเป็นแค่…การขยับทางการเมืองเพื่อจัดการเรื่องของอดีตนายกฯ ให้ดูเรียบร้อยและไม่กระทบรัฐบาลกันแน่?
ก่อนที่มันจะส่งแรงสะเทือนต่อรัฐบาลในระยะยาว หรือต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปที่กำลังคืบเข้ามาทุกขณะ!!!
รัฐบาลปฏิเสธเสียงดัง! ว่า…ไม่เคยคิดจะ “สกัด” บทบาทของ อดีตนายกฯทักษิณ ในการช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า…ได้ลงนามเรื่องอภัยโทษไว้เรียบร้อยแล้ว
นายกฯอนุทิน ย้ำว่า…สิ่งที่กำลังทบทวนในระเบียบต่างๆ ก็เกิดขึ้นบนรากฐานของ “คดีค้างเก่า” ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเกมการเมืองใหม่
กระนั้น ในการเมืองไทย…ความจริงกับผลลัพธ์ ไม่เคยเดินคู่กันเสมอ เพราะ…ผลลัพธ์ทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว ก่อนกฎหมายใหม่จะประกาศใช้ด้วยซ้ำ
นั่นคือ…ความไม่แน่นอน! ที่เริ่มคืบคลานเข้าหา “บทบาทของอดีตนายกนทักษิณ” ในสนามเลือกตั้งรอบหน้า ซึ่งอาจไม่ได้โลดโผนหรือเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนก่อน
ใครที่บอกว่า…ปรากฏการณ์ข้างต้น “ไม่เกี่ยวกับการเมือง” อาจลืมความจริง! ที่ชัดยิ่งกว่า…นั่นคือ ในเวลาที่พรรคเพื่อไทย ยังต้องพึ่งบารมีของ “อดีตนายกฯทักษิณ” ในการสร้าง “แรงส่ง” ทางการเมือง นั้น
การจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่า…จะโดยตั้งใจหรือไม่? ย่อมสั่นสะเทือนแผนยุทธศาสตร์เลือกตั้งของพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล กลับอยู่ในตำแหน่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า…ไม่เพียงเพราะสามารถใช้การแก้ระเบียบครั้งนี้…สร้างภาพลักษณ์ “ยืนบนหลักการ–ทำตามกฎหมาย” แต่ยังเป็น “โอกาสทอง” ที่จะ สร้างภาพจำใหม่ ว่า…
พรรคภูมิใจไทย กำลัง “แยกตัวเอง” ออกจาก…พรรคเพื่อไทย อย่างชัดเจนเพื่อเตรียมขึ้นเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล” ในการเลือกตั้งรอบถัดไป
การประกาศว่า…พรรคภูมิใจไทย จะมี 1 ใน 3 “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีใหม่ อย่าง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จึงเป็นเหมือน “การประกาศศักดา” อย่างเงียบๆ ว่า…พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ทำการเมือง เพื่อเป็น “พรรครอง” อีกต่อไป
แต่กำลัง “จัดทัพใหม่” เพื่อแย่ง “ที่นั่งหัวโต๊ะ” ในการเมืองไทย…โดยสมบูรณ์!!!
การขยับ “แก้กติกายุติธรรม” ในจังหวะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก??? แต่มันคือ…การสร้าง “ระยะห่างที่พอดี” จากพรรคเพื่อไทย เพื่อส่งสัญญาณให้ประชาชน และพรรคการเมืองอื่นๆ รับรู้ทั่วกัน ว่า…
พรรคภูมิใจไทย…กำลังวางตัวเอง เป็นพรรคที่ “ไม่ถูกใครชี้นิ้วคุม” และพร้อมเป็น “ตัวเลือกหลัก” ทางการเมือง…ในยุคที่คน “เบื่อ” ความขัดแย้งเก่า
การเมืองระดับพรรคร่วม…อาจยังต้องเดินไปด้วยกัน แต่ในสนามเลือกตั้ง ทุกพรรคต้องมี “แบรนด์” ของตัวเองที่จะขายให้ประชาชน
และการ “รีเซ็ต” กติกายุติธรรม ครั้งนี้ ได้ทำให้ พรรคภูมิใจไทย สามารถขายแบรนด์ ว่า “เราไม่เอื้อใคร…เราตีเส้นใหม่ของความยุติธรรม”
ในขณะที่ พรรคเพื่อไทย ต้องตั้งคำถามว่า…ถ้าบทบาทของ อดีตนายกฯทักษิณ ถูกจำกัดมากขึ้น!!!
แล้ว เครื่องมือหลัก…ที่จะถูกนำมาใช้เพื่อการ “ขับเคลื่อนฐานเสียง” จะเป็นอะไรแทน???
แม้ว่า…ความสนใจทางการเมือง จะพุ่งไปที่ “เกมการแย่งพื้นที่และอิทธิพล” แต่สิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่คาดหวังกลับง่ายกว่านั้นมาก…
นั่นคือ…ความยุติธรรมที่ไม่เลือกหน้า, ระเบียบที่ไม่เปิดทางให้ใครหลุดพ้นจากหลักเกณฑ์ และ กฎหมายที่ “ไม่บิดเบี้ยว” เพราะ…สถานะหรือชื่อเสียงของ “ผู้ต้องขัง”
หากการแก้ระเบียบครั้งนี้! สามารถสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานเดียวของกฎหมายได้จริง มันอาจเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบยุติธรรมไทย!!??
แต่หากสุดท้าย…ปรากฏเพียงว่า เป็นการ “จัดฉากกฎหมาย” เพื่อจัดการปัญหาชั่วคราว หรือเพื่อจัดสมดุลทางการเมือง
สิ่งที่จะเสียหายที่สุด! คงไม่ใช่พรรคใด…พรรคหนึ่ง? แต่คือ…ความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบยุติธรรมทั้งชุด!!!
ท้ายที่สุดแล้ว การแก้ระเบียบกระทรวงยุติธรรมครั้งนี้ กำลังกลายเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนคำถามเก่าๆ ที่สังคมไทย เคยตั้งคำถามกันมายาวนานเหลือเกิน ว่า…
เรามีความยุติธรรมเดียวกันจริงหรือไม่???
และ คำตอบของคำถามนี้ อาจเป็น ตัวชี้ชะตา ว่า…การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป จะเดินไปในทิศทางใด? และประชาชนคนไทย…จะยังเชื่อในกติกาของรัฐไทยมากน้อยเพียงใด???.






