หางจุกตูด!!??

ท่ามกลางความร้าวลึกชายแดนไทย–กัมพูชา วาทะ “ไม่ใช่น้ำตาจระเข้” ของนายกฯ อนุทิน สะท้อนการเปลี่ยนทิศของยุทธศาสตร์ชาติแบบไม่หันหลังกลับ พร้อมประกาศ “Do it My Way” และตีกรอบใหม่ไม่ขึ้นต่อคนกลางอาเซียนอย่างมาเลเซียอีกต่อไป สถานการณ์นี้ผลักภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ

การปะทะเชิงวาทกรรม? ระหว่าง”ผู้นำไทย” กับกัมพูชา ท่ามกลางความตึงเครียดชายแดน ภายหลังเหตุลอบวางทุ่นระเบิดจนทหารไทยบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ

ปมนี้…เป็นมากกว่าความขัดแย้งระดับพื้นที่ แต่มันสะท้อนจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน

เมื่อไทยตัดสินใจ “ยกเลิกสัญญา 4 ข้อ” ภายใต้ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ พร้อมคำประกาศเดินเกมในแบบของตนเอง ด้วยวลี…สั้น! แต่เสียงดังที่สั่นสะเทือนวงการการทูต ว่า…

Do it My Way”

อีกด้านหนึ่ง คำตอบโต้ “สื่อกัมพูชา” ที่กล่าวหาว่า…น้ำตาของนายกฯไทย คือ น้ำตาจระเข้

โดย นายกฯอนุทิน ย้ำว่า “ไม่ใช่น้ำตาจระเข้ คอยดูแล้วกัน เดี๋ยวจระเข้มันงับ อย่าหางจุกตูดก็แล้วกัน”

วลีนี้…กลายเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกท่าทีไทยจากการทูตเชิงอดทนระมัดระวัง มาสู่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงเชิงรุกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!!! ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

จุดเริ่มต้น! ของความปะทุรอบนี้ คือ การพบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 4 ลูก ในฝั่งไทย หลังเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด จนต้องสูญเสียขา และเป็นทหารไทยรายที่ 7 แล้ว ที่ต้องสูญเสียขา จากสันดานลอบกัดของทหารกัมพูชา

จากการตรวจสอบทางเทคโนโลยี ชี้ชัด! ว่า ทุ่นเหล่านี้ถูกวาง “หลังลงนามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” ซึ่งควรจะเป็นข้อตกลงลดความตึงเครียดชายแดน แต่กลับถูกทำลายลงโดยคู่ลงนามเอง

นั่น…ทำให้ฝ่ายไทย ประกาศทันที ว่า “ปฏิญญานี้สิ้นผลแล้ว” และเป็นการประกาศต่อสาธารณะว่า คนกลางอย่างมาเลเซียไม่มีความชอบธรรมเชิงปฏิบัติ (de facto) อีกต่อไป แม้ยังครองตำแหน่ง ประธานอาเซียน อยู่ก็ตาม

บทบาทของมาเลเซีย ในฐานะ คนกลาง ถูกวิจารณ์เรื้อรังมาหลายเดือน เพราะ 2 ครั้งก่อนหน้าที่จัดเจรจา ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการละเมิดของกัมพูชาได้

ความไม่จริงใจของกัมพูชา หลังลงนามหยุดยิงถูกมองว่า เป็นพฤติกรรมต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะบนแนวเขตแดนเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เมื่อไทยพบหลักฐานว่า ทุ่นระเบิดถูกวางหลังการลงนามข้อตกลงครั้งล่าสุด บทบาทคนกลางของมาเลเซีย จึงถูกลดระดับความน่าเชื่อถือจนแทนจะเหลือศูนย์

ภาษาทางการทูต แม้ มาเลเซีย…ยังคงถือสถานะประธานอาเซียน (de jure) แต่ในทางปฏิบัติ มาเลเซียไม่เหลือพลังต่อรองหรือแรงกดดันใด ๆ ที่จะทำให้คู่ขัดแย้งทำตามข้อตกลงได้อีกต่อไป

ขณะที่ สื่อกัมพูชา ปล่อยบทความกล่าวหา นายกฯ อนุทิน ว่า “ร้องไห้เป็นน้ำตาจระเข้” เมื่อไปเยี่ยมทหารไทยซึ่งเหยียบทุ่นระเบิด

ความพยายาม สร้างภาพ ว่า ผู้นำไทย “แสดงละคร” เพื่อใช้เป็นข้ออ้างเปิดศึก หรือกล่าวโทษกัมพูชา ได้ถูกตอบโต้ด้วยวาทะที่ทำเอาสื่อกัมพูชาต้องสะดุด ทันทีว่า

“ไม่ใช่น้ำตาจระเข้ คอยดูแล้วกัน เดี๋ยวจระเข้มันงับ อย่าหางจุกตูดก็แล้วกัน”

วลีนี้…ไม่ใช่เพียงถ้อยคำดุดัน? แต่มันเป็น “สัญญาณทางยุทธศาสตร์” ที่ส่งตรงถึง กองทัพกัมพูชา และ ผู้นำพนมเปญ ว่า…

ไทยจะไม่ยอมถูกยั่วยุอีกต่อไป และพร้อมตอบโต้หากมีการกระทำใด ๆ ที่ละเมิดดินแดนไทยซ้ำ!!!

ประเด็นสำคัญที่ทำให้สถานการณ์นี้ ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น! ก็เพราะฝ่าย ไทย “ปฏิเสธแรงบีบจากสหรัฐฯ” ที่ต้องการให้ไทยกลับสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็ว

เนื่องจากสหรัฐฯ ภายใต้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการจะใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในการคุมจังหวะประเทศในภูมิภาคน

ทว่า นายกฯฯ อนุทิน กลับตอบโต้ในเวทีสาธารณะว่า… ไทยไม่ต้องอาศัยภาษีทรัมป์” และยืนยันว่า…เราสามารถเดินหน้าเศรษฐกิจได้ด้วยศักยภาพของตนเอง

ท่าทีของ “ผู้นำไทย” นี้…ถูก อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ อย่าง… นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ออกมาเตือนทันทีว่า… เ

ป็นถ้อยคำที่ “เข้าทางกัมพูชา” และอาจทำให้ไทยโดดเดี่ยวในระดับภูมิรัฐศาสตร์โดยไม่จำเป็น

การไม่สนใจสหรัฐฯ ประกอบกับการปฏิเสธข้อเสนอของมาเลเซีย ทำให้ไทย…เปลี่ยนสภาพจากการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนการถ่วงดุลมหาอำนาจอย่างระมัดระวัง มาเป็น “ยุทธศาสตร์แบบชี้นำตนเอง” (self-guided strategy)

สิ่งนี้…อาจดูเสี่ยง! แต่ก็…ทรงพลัง! ในเวลาเดียวกัน

นี่คือ ครั้งแรกที่ “ผู้นำไทย” ประกาศแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์แบบเปิดหน้าใจกลางความขัดแย้ง ว่า Do it My Way” ซึ่งสำหรับประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจแล้ว ถือเป็นสัญญาณว่า…

ไทยกำลังเดินบนเส้นทางใหม่ที่ไม่ขึ้นกับกรอบเดิมของอาเซียนหรือมหาอำนาจตะวันตก

คำประกาศดังกล่าว สะท้อน…ยุทธศาสตร์ใหม่ของไทย ที่กำลังเบนไปสู่การใช้ “พลังอธิปไตยแห่งชาติ” เป็นตัวนำ ไม่ใช่การทูตแบบเกรงใจหรือผูกพันด้วยข้อตกลงที่คู่เจรจาไม่ปฏิบัติตาม

การที่ กองทัพไทย ได้รับคำสั่งเข้าสู่…ความพร้อมระดับสูงสุดยิ่ง!!!

ชี้ให้เห็นว่าไทยกำลังเตรียมป้องกันการละเมิดครั้งต่อไปที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะการวางทุ่นระเบิดไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็น “การปฏิบัติการทางทหาร” ที่มีเจตนาชัดเจน

ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชาอยู่ในสถานการณ์ลำบากกว่า ที่มองเห็น เพราะ…แรงกดดันภายใน เกี่ยวกับ เครือข่ายสแกมเมอร์ การเปลี่ยนผ่านทางอำนาจของตระกูลฮุน และความจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ในสายตาสหรัฐฯ

เหล่านี้ ล้วนทำให้ กัมพูชามีแรงจูงใจ “แว้งกัดไทยแบบลักหลับ”เพื่อเปลี่ยน…วาระทางการเมืองภายในประเทศ

ขณะที่ฝ่ายไทยมองว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยโดยตรง และไม่อาจปล่อยผ่านอีกต่อไป

ทั้งหมดนี้ ทำให้ สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เดินเข้าสู่จุดเปลี่ยนใหม่อย่างแท้จริง!

ไทยไม่เพียงแต่ประกาศว่า “สัญญา 4 ข้อสิ้นสุดลง” แต่ยังประกาศชัดเจนว่า…จะเดินเกมของตนเองโดยไม่รอความเห็นชอบจากมาเลเซีย สหรัฐฯ หรือกัมพูชาอีกต่อไป

ยุทธศาสตร์ใหม่นี้…ทำให้เกมภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเปลี่ยนจากความพยายามรักษาสถานะเดิม ไปสู่การแข่งขันสร้าง “อำนาจต่อรองใหม่”

 โดยที่ไทยประกาศจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ภาพลักษณ์หรืออธิปไตยของตนถูกลดทอนอีกแล้ว

วลี “อย่าหางจุกตูด” อาจฟังแรง! สำหรับนักการทูต แต่สำหรับประชาชนไทยและผู้สังเกตการณ์ในภูมิภาค มันคือถ้อยคำที่สะท้อนความเบื่อหน่ายต่อคำสัญญาที่ไม่เคยได้รับการเคารพจากฝั่งกัมพูชา

ยิ่งเมื่อถูกกล่าวหาว่า “ร้องไห้เป็นน้ำตาจระเข้” ก็ไม่แปลก! หาก “ผู้นำไทย” จะมองเห็นความจำเป็นต้องตอบกลับ! ด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่กว่าปกติ

เพื่อส่งสัญญาณถึงคู่กรณีว่า…ความอดทนของไทยมาถึงขีดจำกัดแล้ว

และหากมีการละเมิดซ้ำ!!?? ไทยจะ “ตอบกลับแบบจระเข้ตัวจริง” ไม่ใช่ตัวละครในข่าวปลอมของกัมพูชาอีกต่อไป

ท้ายที่สุด! วิกฤตครั้งนี้  จึงไม่ใช่เพียงเรื่องทุ่นระเบิดหรือวาทกรรม แต่คือ บทใหม่ของยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน

และ ไทยกำลังประกาศจะเป็นรัฐที่ยืนด้วยขาของตนเอง ไม่ยอมเป็น “ประเทศรอง” ในเกมของใครอีกต่อไป!!!

โดยจะไม่อดทน! ต่อคำดูถูกจากเพื่อนบ้านที่ใช้วิธีลอบกัดเหมือนในอดีต

คำเตือนว่า “จระเข้มันงับ อย่าหางจุกตูด” จึงไม่ใช่แค่…วาทะโต้กลับสื่อกัมพูช

แต่มันคือ…สัญญาณ ที่ว่า ไทยพร้อมเดินหน้ายุทธศาสตร์แข็งกร้าวทุกเมื่อ หากความมั่นคงของชาติถูกท้าทายซ้ำอีกครั้ง!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password