ร้อนๆ หนาวๆ เขาสั่งหยุดยิง?

“ผมก็อยากรู้ว่าใครสั่ง?” คำถามสั้น! แต่ร้อนแรงจากนายกฯ อนุทิน หลังอดีตแม่ทัพภาค 2 เผยว่า…มีคำสั่งให้หยุดยิงเพียง 6 ชั่วโมงแรกของศึกชายแดนไทย–กัมพูชา สิ่งนี้…ไม่เพียงจุดไฟข้อสงสัย? ในทางการเมืองและความมั่นคงครั้งใหญ่ ท่ามกลางคำชี้แจงของ “ภูมิธรรม” ที่ย้ำว่า “ไม่เคยมีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง” ไม่ว่าหวยจะออกมุมใด? มันย่อม…เผาไหม้! ความเชื่อมั่นคนไทย

ข่าวดัง! ยามนี้ ที่ “ตีคู่” มากับข่าว…ทหารไทยเหยียบบึ้ม! จนขาขวาขาด? และนับเป็นรายที่ 7 คงไม่พ้นข่าวนี้…

ใคร? ที่สั่ง “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ช่วงยังเป็น…แม่ทัพภาคที่ 2 หยุดยิง! ทั้งๆ ที่มันแค่เริ่ม “เหตุปะทะ!” ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ตามแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา เพียงแค่ 6 ชม.แรก ของศึกในวันแรก (24 ก.ค.2568)

ประเด็นที่ พล.ท.บุญสิน อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และ ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์สื่อหลายค่าย เมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ได้ลุกลามกลายเป็นประเด็นการเมืองร้อนแรงในทางการเมืองอีกครั้ง!!!

ตอนหนึ่งของให้การสัมภาษณ์ เขายืนยันว่า…ในวันแรกของการปะทะ! “มีคำสั่งให้หยุดยิงหลัง 6 ชั่วโมง” ก่อนจะขยายความต่อว่า…ขณะกำลังสั่งการอยู่แนวหน้า มีโทรศัพท์จาก “ผู้ใหญ่” สั่งให้ยุติการยิงทันที! แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำตาม โดยยืนยันว่า…

“ผมสตาร์ทแล้ว จะหยุดได้ยังไง เราต้องเอาแผ่นดินคืน”

ถ้อยคำดังกล่าว…กลายเป็นชนวนให้สังคมไทย ได้ตั้งคำถามตามมา “ต่อระบบ” การสั่งการทางทหารและการเมือง…ในยามวิกฤตชายแดน???

หลังคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ กระแสสังคมและสื่อมวลชนต่างตั้งคำถามว่า…

“ใครกันแน่ที่เป็นคนสั่งให้หยุดยิง???”

จนถึงขั้นที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ต้องออกมากล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังโดนคำถามหนักๆ อยู่บ่อยครั้ง และมันเป็นประเด็นในทางการเมืองทันที่ นั่นก็เพราะคำพูดที่ว่า…

“ผมก็อยากรู้ว่า ใครสั่ง?”

ประโยคสั้นๆ แต่สะท้อนแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองอย่างลงลึก!!! เพราะคำถามนี้…ไม่ได้เพียงหมายถึง “ตัวบุคคล” แต่โยงไปถึง “กลไก” การใช้อำนาจภายในรัฐที่กำลังถูกตรวจสอบ

ต่อมา….นายกฯอนุทิน ยังได้ออกมาชี้แจงผ่าน “เฟซบุ๊กส่วนตัว” ว่า ข่าวที่มีการอ้างว่าเขาเตือน “แม่ทัพกุ้ง” ให้หยุดบรรยายเรื่องวันปะทะ เป็นข่าวปลอม และยืนยันว่าไม่เคยสั่งการใดๆ เกี่ยวกับการหยุดยิงในเหตุการณ์นั้นเลย ยิ่งทำให้คำพูดของ พล.ท. บุญสิน มีน้ำหนักในเชิงตั้งคำถามมากขึ้น

ขณะที่ กระแสสังคมไทย ยังคงคุกกรุ่น! นายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในช่วงเวลานั้น ทำหน้าที่ “รักษาการนายกรัฐมนตรี” และเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่า…เป็น “คนสั่งฯให้หยุดยิงหรือไม่?”

ซึ่ง นายภูมิธรรม ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงเหตุการณ์จริงในห้วงเวลาดังกล่าว โดยระบุว่า… ก่อนหน้าจะเกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน (ปลายเดือนกรกฎาคม 2568) รัฐบาลได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อ 6 มิถุนายน 2568 ซึ่ง ที่ประชุมฯได้มีมติสำคัญ ว่า “มอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Rules of Engagement (ROE) หรือกติกาการปฏิบัติในภาวะการสู้รบตามมาตรฐานสากล

หมายความว่า…กองทัพไทย มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธีเพื่อป้องกันประเทศ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง

ในทางปฏิบัติ การสู้รบจึงอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของผู้บังคับบัญชาทางทหารอย่างอิสระ ไม่ใช่คำสั่งที่ลงมาจากฝ่ายรัฐบาล

โดย นายภูมิธรรม ย้ำว่า “ความเชื่อที่ว่า มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงพร้อมกับขอให้ประชาชนมั่นใจว่า…ทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น มี “จุดยืนเดียว!” นั่นคือ “ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และหลีกเลี่ยงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสียของกำลังพลและประชาชนแนวชายแดนให้มากที่สุด”

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์เดียวกัน นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึง “ที่มา” ของเหตุปะทะ ว่า สาเหตุหลักไม่ใช่เรื่องเส้นเขตแดน แต่เกิดจากการที่รัฐบาลขณะนั้น ออกมาตรการเข้มข้นในการปราบปรามอบายมุขทุกประเภท ภายใต้คำสั่ง Seal Stop Safe” ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ

โดยเฉพาะ เครือข่ายธุรกิจชายแดนในฝั่งกัมพูชา

อดีตรักษาการนายกฯ อ้างว่า กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์บางส่วนพยายามบิดเบือนสถานการณ์ และส่งคนเข้ามายั่วยุเพื่อให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างกองกำลัง จนลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งระดับประเทศ

ทั้งยังระบุด้วยว่า เหตุการณ์มาถึง “จุดพีค!” เมื่อ “นายกฯอิ๊ง” ซึ่งในเวลานั้น ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจงานที่ด่านคลองลึก–ปอยเปต และต่อมา ได้เกิดเหตุ “ลอบเผา” ศาลาตรีมุข ที่ช่องจอม ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาเข้าสู่ภาวะเปราะบางที่สุด! ในรอบหลายปี

ในเชิงโครงสร้างการสั่งการ ข้อมูลของ นายภูมิธรรม จึงเป็นคำอธิบายสำคัญที่ช่วยยืนยัน ว่า ไม่มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง หากแต่เป็นการดำเนินงานของกองทัพตามกรอบ ROE ที่ได้รับมอบอำนาจไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

ขณะเดียวกัน คำให้สัมภาษณ์ของ พล.ท. บุญสิน ที่ระบุว่ามี “โทรศัพท์สั่งให้หยุด” แม้ไม่ได้กล่าวถึง “ชื่อ บุคคล” แต่มันก็ทำให้เกิด “การตีความ” หลายทิศทาง ทั้งในแง่…ความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างสายการบังคับบัญชา หรือ การสื่อสารที่ถูกขยายความในภาวะวิกฤต

จนกลายเป็น…ประเด็นที่ฝ่ายการเมืองต้องออกมาปฏิเสธกันจ้าละหวั่น!!??

สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้…ขยายตัวไปไกล คือ การที่ “ผู้นำรัฐบาล” คนปัจจุบัน อย่าง นายกฯอนุทิน ซึ่งไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง หัวหน้ารัฐบาล ในช่วงเกิดเหตุ กลับออกมาพูดเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) ว่า…

“ผมก็อยากรู้ว่าใครสั่ง?”

คำพูดนี้…แม้ในเชิงข้อเท็จจริง เป็นเพียงการตอบคำถามสื่อ แต่ในทางการเมือง กลับถูกตีความ ว่า…เป็นการส่งสัญญาณให้สังคมไทย ได้ตั้งคำถามกับ…อดีตรัฐบาล และ กลไกความมั่นคงทั้งหมด!!!

จึงไม่น่าแปลกใจ? เหตุใด…ฝ่ายต่างๆ จะรู้สึกทั้ง “ร้อนๆ หนาวๆ!!!” เพราะหากมีการ สั่งหยุดยิงจริง! ย่อมหมายถึง…การแทรกแซงการตัดสินใจทางยุทธวิธี

แต่ในทางกลับกัน หากสิ่งนี้…ไม่มีอยู่จริง? มันก็สะท้อนถึง…ความบกพร่องในระบบสื่อสารของกองทัพ เอง

ข้อเท็จจริงในเวลานี้ ยังไม่มีเอกสาร หรือคำสั่งลายลักษณ์อักษร ที่ชี้ชัดว่า มีใครเป็นผู้ออกคำสั่งให้หยุดยิง!  หรือเป็นเพียงการประสานงานทางวาจาในภาวะความตึงเครียด

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือ คำถามของ นายกฯอนุทิน ที่ได้ผลักเรื่องนี้ ให้กลายเป็น…ประเด็นสาธารณะ ที่สะท้อนความไม่ชัดเจนของโครงสร้างอำนาจในภาวะสงครามชายแดน และการแยกขอบเขตระหว่าง “การเมือง–ความมั่นคง”

ซึ่งมัก “ถูกตี” ความทับซ้อนกันในวิกฤตลักษณะนี้

ในท้ายที่สุด! คำถาม “ใครสั่ง?” จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่…การค้นหาตัวบุคคล แต่มันคือการ “ค้นหาความจริง!” ในระบบการตัดสินใจของรัฐไทย ที่ยังต้องการคำอธิบายอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา

เพราะเมื่อใด? ที่ความจริงถูกปิดบังไว้! ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เมื่อนั้นเอง…ความเชื่อมั่นของประชาชน…ย่อมสั่นคลอน!!! อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นกัน!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password