กลบเรื่องใหญ่???

“หน.เท้ง” หนุน! – “รังสิมันต์ โรม” ไม่หวั่นปมถูกทีมทนาย “เบน สมิธ” ฟ้องหมิ่นฯ 100 ล้านบาท หลังเปิดโปงทุนสีเทา โยงคอลเซ็นเตอร์กลางสภาผู้แทนราษฎร ด้าน “นายกฯหนู – รัฐบาล”เลือกเงียบ! เตือน…อย่าใช้กฎหมายปิดปาก “ส.ส. ผู้ตรวจสอบ” หวั่น! อาจทำให้…เรื่องใหญ่ของชาติ ถูกกลบด้วยกระดาษคำฟ้อง!
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบุถึง เครือข่ายทุนสีเทาและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ที่โยงใยอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองไทย
พาดพิงถึงใครอีกหลายคน? เป็นนักการเมือง ทั้งในและนอกสภาฯ รวมถึง ชาวต่างชาติ ระบุชื่อชัด! นายเบน สมิธ
วังวนของการอภิปรายตรวจสอบรัฐบาลที่คุ้นชินของคนไทย แต่กลับประเด็น…กลับส่งผลสะเทือนในทางข้อกฎหมายตามมา และกำลังลุกลามกลายเป็นคดีความมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท
เมื่อบุคคลที่ถูกพาดพิง โดยเฉพาะ “นายเบน สมิธ” ที่มอบหมาย ทนายความในสังกัดของ “ผู้กองฯธรรมนัส” ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท ทั้งคดีอาญาและแพ่ง
เอาผิดกับ นายรังสิมันต์!!!
สิ่งที่ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในเวทีประชุมสภาฯ มิได้เป็นเพียงถ้อยคำกล่าวหาโดยลอย ๆ แต่ได้อ้างถึงเครือข่ายทุนต่างชาติ ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และโยงใยอยู่กับกลุ่มธุรกิจสีเทา ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจสุจริตของประเทศ…บิดเบี้ยว
ประชาชนจำนวนมากตกเป็น “เหยื่อ” ของขบวนการเหล่านี้ ซึ่งเขามองว่าเป็น “ภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ”
ดังนั้น การอภิปรายจึงถูกนำเสนอในลักษณะของการ “เตือนสังคม!” และ “กระตุ้น” ให้รัฐบาลเร่งกวาดล้างขบวนการดังกล่าวอย่างจริงจัง
แต่ทันทีที่คำอภิปราย เผยแพร่ไปสู่สาธารณะ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ทนายความ ซึ่งอ้างว่า…ได้รับมอบอำนาจจากนายเบน สมิธ ก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญารัชดาภิเษก กล่าวหา นายรังสิมันต์ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
พร้อมเรียกค่าเสียหายทางแพ่งถึง 100 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า…
ถ้อยคำในการอภิปรายก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของลูกความ และถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางจนกระทบต่อธุรกิจที่ดำเนินอยู่ทั้งในไทยและสิงคโปร์
ขณะที่ นายรังสิมันต์ ตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “ไม่หวั่น” ต่อการถูกฟ้อง พร้อมยืนยันว่า…ทุกถ้อยคำที่กล่าวในสภาฯ ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ และเป็นหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่จะต้องสะท้อนปัญหาเพื่อปกป้องประชาชน
อีกทั้งยังย้ำว่า หากการพูดความจริงในสภาฯ กระทั่ง กลายเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องมหาศาล เท่ากับเป็นการทำลายเสรีภาพของผู้แทนและข่มขู่ผู้ที่กล้าพูดในประเด็นอ่อนไหวต่ออำนาจทุน!!??
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของ ฝ่ายผู้ฟ้อง ก็สร้าง…คำถามทางการเมืองไม่น้อย? เมื่อพบว่า…ทนายธนดล เป็นบุคคลใกล้ชิดกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กษตรฯ ซึ่งเคยมีชื่อถูกกล่าวพาดพิงในประเด็นเดียวกัน
แม้ ร.อ.ธรรมนัส จะปัดตอบคำถาม โดยให้ไปถามนายกรัฐมนตรีแทน แต่ความเงียบนี้…กลับยิ่งเพิ่มข้อสงสัยถึงเบื้องหลังของการดำเนินคดี และจุดประสงค์แท้จริงของการฟ้องร้องที่ดูจะเกินกว่า “การปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคล” หรือไม่???
ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ยืนยันพร้อมจะสนับสนุนลูกพรรค ก่อนจะย้ำว่า…นายรังสิมันต์ ทำหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ และการอภิปรายในสภาฯ ไม่ควรถูกนำมาเป็นเหตุฟ้องร้องในลักษณะนี้
พร้อมตั้งคำถามว่า…การดำเนินคดีดังกล่าวอาจเข้าข่าย “ฟ้องปิดปาก” หรือไม่? เพื่อให้ผู้แทนราษฎรและนักเคลื่อนไหว เกิดความหวาดกลัวจนไม่กล้าแตะต้องกลุ่มทุนที่มีอิทธิพล!!??
ท่ามกลางกระแสข่าวที่ดังอื้ออึงนี้ ทว่า…รัฐบาลยังคงสงวนท่าที ขณะที่ นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นโดยตรง ส่วน ร.อ.ธรรมนัส เพียงกล่าวสั้น ๆ ว่า “ให้ไปสัมภาษณ์นายกฯ”
ขณะที่ “โฆษกรัฐบาล” นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ก็เลือกไม่ขยายความใด ๆ ทำให้สังคมต้องตั้งคำถามว่า…รัฐบาลกำลังพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในประเด็น “การตรวจสอบทุนสีเทา” หรือหวั่นว่า…“ความจริงบางอย่างอาจย้อนมาทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของตนเอง” หรืออย่างไร?
สื่อมวลชนหลายสำนัก นำเสนอข่าวนี้ในมุมของ “การทดสอบเส้นแบ่ง” ระหว่างสิทธิในการอภิปรายของผู้แทนราษฎรกับสิทธิส่วนบุคคลของผู้ถูกพาดพิง
นักวิชาการบางส่วนให้ความเห็นว่า…หากศาลรับฟ้องและตัดสินว่า ส.ส.ไม่อยู่ในขอบเขตของเอกสิทธิ์คุ้มครองในกรณีที่มีการถ่ายทอดสาธารณะ
สิ่งนี้…อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่จะทำให้การตรวจสอบในสภาถูกจำกัดลงอย่างมีนัยสำคัญ!!??
แต่ในอีกด้านหนึ่ง สังคมจำนวนไม่น้อยกลับมองว่า…การฟ้องร้องลักษณะนี้สะท้อน “ความพยายามเบี่ยงประเด็น” มากกว่าจะปกป้องเกียรติยศ เพราะสิ่งที่ควรถูกตั้งคำถาม คือ ข้อเท็จจริงในเนื้อหาการอภิปราย ไม่ใช่การปิดปากผู้พูด
ประชาชน…ผู้เป็น เจ้าของอำนาจอธิปไตย มีสิทธิ์รู้ว่า…ใครอยู่เบื้องหลัง? เครือข่ายที่หลอกลวงและทำร้ายชีวิตผู้คนในประเทศนี้ มากกว่าจะถูกบังคับให้หันไปสนใจเพียงคดีความของผู้ที่กล้าเปิดเผยข้อมูล
“อย่าให้เรื่องฟ้องร้องมากลบเรื่องใหญ่” คือประโยคที่ นายรังสิมันต์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ภายหลังทราบข่าวการฟ้อง
ความหมายที่พูด คือ การเตือนให้สังคมไม่ลืมแก่นแท้ของการอภิปรายในสภา ที่มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องประชาชนจากกลุ่มทุนและขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ใช่เพื่อสร้างความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างนักการเมืองกับนักธุรกิจ!!!
ในสังคมประชาธิปไตย การตรวจสอบ คือ “หัวใจ” ของอำนาจนิติบัญญัติ
ส.ส.ต้องสามารถพูดได้ โดยไม่ถูกคุกคามจาก “ผู้มีอำนาจ” หรือ “ผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ”!!!
การอภิปราย…แม้จะรุนแรงหรือกระทบผู้ใด? ย่อมต้องมีขอบเขตแห่งความรับผิด แต่การใช้ “กฎหมายเป็นเครื่องมือ” เพื่อสกัดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ย่อมอันตรายยิ่งกว่า!!??
เพราะนั่นคือ…การทำลายภูมิคุ้มกันของระบอบประชาธิปไตยด้วยมือของผู้ถือกฎหมายเอง
คดี “นายเบน สมิธ ฟ้องนายโรม” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของคน 2 ฝ่าย??? หากแต่เป็นเครื่องชี้วัดว่า…ประเทศไทยจะเลือกยืนอยู่ตรงไหน? ระหว่าง “สังคมแห่งความจริง” ที่เปิดพื้นที่ให้การตรวจสอบอย่างเสรี หรือ “สังคมแห่งความเงียบ” ที่ผู้เปิดโปงต้องแลกอิสรภาพกับความกล้า
หากเราเลือกอย่างหลัง เรื่องใหญ่ของชาติอาจถูกกลบด้วยกระดาษคำฟ้องเพียงไม่กี่แผ่น และวันนั้น เสียงของผู้แทนราษฎร…อาจกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบในห้องที่ไม่มีใครอยากฟัง อีกต่อไป!!!.