เศรษฐกิจนำ???

เวลาสั้นๆ แค่ 4 เดือน อาจพลิกวิกฤตสู่โอกาส! กับแนวคิด “เศรษฐกิจนำการเมือง” ที่มาพร้อม…วินัย/ธรรมาภิบาลการคลัง เปิดเผยทุกรายละเอียดโครงการลงทุน ชนิด! อาจทำ “นักการเมือง-ผู้รับเหมา” ขยาด! ผ่านแผนยุทธศาสตร์ Medium-term fiscal framework อะไรทำได้ก่อนทำเลย! อาจสกัด “ทุจริตงบแผ่นดิน” เป็นคำตอบที่ “เรทติ้ง เอเจนซี” และคนไทยส่วนใหญ่ ก็อยากจะเห็น…

การนำทีม “เดินสาย” พบปะ ผู้นำภาคเอกชนและองค์กรภาครัฐ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และรมว.คลัง ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา…

ไม่ว่าจะเป็น…สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), ก.ล.ต. และ สมาคมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

มันสะท้อนภาพบางอย่าง??? ที่มาพร้อมกับกรอบเวลา 4 เดือนของ “รัฐบาลอนุทิน”

ภาพที่ว่า ก็คือ…การใช้นโยบายเศรษฐกิจนำทุกเรื่อง! ไม่เว้นแม้แต่เรื่องในทางการเมือง!!??

“พูดได้ไหมว่า…รัฐบาลยุคนี้ใช้เศรษฐกิจนำการเมือง???” คำถามที่ “หัวหน้าทีมข่าวยุทธศาสตร์” ถามกับ ดร.เอกนิติ ในวันแรกที่เขาเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์ในกระทรวงการคลัง และพบปะเพื่อนข้าราชการประจำ เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (25 กันยายน 2568) ที่ผ่านมา…

คำตอบที่ได้รับ คือ… “อันนี้ ผมคงตอบไม่ได้ แต่ท่านนายกฯเลือกผมมา ก็น่าจะเป็นคำตอบกลาย ๆ ว่าเป็นอย่างไรนะครับ”

ประโยคนี้…แม้จะไม่ยืนยันตรง ๆ แต่ก็เป็นการสื่อชัดเจนว่า “หัวใจ” ของ “รัฐบาลอนุทิน” คือการใช้นโยบายเศรษฐกิจ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน และใช้เป็นฐานสำคัญในการกำหนด “ทิศทางการเมือง” ของประเทศอย่างแท้จริง!!!

สิ่งที่ ดร.เอกนิติ ย้ำตลอดการแถลง คือ ความสำคัญของ “วินัยการคลัง” และ “ธรรมาภิบาลการคลัง”

เขาชี้ว่า…การที่ได้รับคำเตือนจาก Fitch Ratings (ก่อนหน้านี้ ก็เป็น Moody’s) ซึ่งเป็น กลุ่มบริษัท “เรทติ้ง เอเจนซี” ชั้นนำของโลก และพวกเขาเพิ่งจะปรับ Outlook ของไทยลง

สิ่งนี้…ถือเป็น “คำเตือน” ที่รัฐบาลต้องรับฟังอย่างจริงจัง!!!

ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันการถูก “ลดเครดิต” หากแต่เป็นแรงกดดันให้ รัฐบาลไทย จะต้องแสดงให้เห็นว่า…ทุกนโยบายที่ดำเนินการนับจากนี้เป็นต้นไป ควรจะต้องมี “กรอบวินัยการคลัง” รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ…ต้นทุนจัดทำโครงการและมาตรการของรัฐ ภายใต้แนวคิด…ธรรมาภิบาลการคลัง!!!

นั่นคือ การประกาศว่า…จะสร้าง Medium-term Fiscal Framework (แผนการคลังระยะปานกลาง) ที่เข้มแข็ง โปร่งใส และตรวจสอบได้

เดือนพฤศจิกายนนี้ จะถือเป็น “จุดเปลี่ยน!” สำคัญ โดย รัฐบาลเตรียมจะเปิดเผยในทุกสมมติฐานของการจัดทำงบประมาณ ทั้งตัวเลขขาดดุล การประมาณการรายได้ และแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อให้ทั้งประชาชนและบริษัทจัดอันดับเครดิตเห็นว่า…

รัฐบาลไทย…รักษาวินัยการคลังจริง และพร้อมจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ยั่งยืน

“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องวินัยการคลัง จากที่ผมได้มีโอกาสทำงานในกรมจัดเก็บภาษี (กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต) รวมถึง กรมธนารักษ์ และสคร. (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ก็พอทราบว่า เราจะเพิ่มศักยภาพในการหารายได้อย่างไรบ้าง?

ทั้งที่มีข้อจำกัด โดยที่เราไม่ต้องแก้กฎหมาย ซึ่งแผนต่างๆ ที่ทำมาทั้งชีวิต และที่ยังไม่เคยได้ทำ ซึ่งผมได้คุยกับท่านปลัดกระทรวงการคลังแล้วว่า อันไหนทำได้…ทำเลย! ก็จะมีทั้งในเรื่องการปฏิรูปรายได้ ในส่วนที่ไม่ต้องแก้กฎหมาย

และที่สำคัญที่ผมตั้งใจอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ บริษัทเรทติ้ง เอเจนซี ทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาได้เห็น นั่นก็คือ การยกระดับธรรมาภิบาลการคลัง ซึ่งในทุกนโยบายที่ได้ขอจากท่านนายกฯ และท่านได้เน้นย้ำว่า…เราจะต้องรักษาวินัยการคลัง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น

ดังนั้น ทุกนโยบายจึงมีธรรมาภิบาลการคลัง ออกมาให้เห็นว่า…การดำเนินการโครงการของรัฐ มีต้นทุนเท่าไหร่? จะเกิดประโยชน์อย่างไร? Benefit Cost (วิเคราะห์ผลได้ผลเสียอย่างตรงไปตรงมาอย่างไร? เป็นต้น

ทุกคนจะได้เห็นและถูกนำมาใส่ เราจะต้องทำ Medium-term fiscal framework (แผนการคลังระยะปานกลาง) ซึ่งเดือนพฤศจิกายนนี้ เราจะปรับครั้งใหญ่ ซึ่งมันถึงรอบพอดี แต่ครั้งนี้ ผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด!

ข้างต้นทั้งหมด! ออกมาจากการให้สัมภาษณ์ของ รองนายกฯและรมว.คลัง ป้ายแดง

เสมือนการจงใจจะชี้ให้เห็นในทำนองที่ว่า…การสร้างความโปร่งใส? ไม่เพียงรักษาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ หากแต่ยังป้องกันไม่ให้นักการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มเอกชนที่ไม่สุจริต สามารถสมคบคิด…โกงกินเงินงบประมาณแผ่นดิน ได้เหมือนในอดีต!!!

ดร.เอกนิติ อธิบายว่า เวลาที่รัฐบาลมีอยู่เพียง 4 เดือน แม้หลังจากนั้น ยังจะทำหน้าที่เป็น “รัฐบาลรักษาการ” แต่คงไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ มากนัก ดังนั้น เวลาที่มี จึงต้องเลือกแนวทาง “Quick-Big Win” หมายถึง การเลือกโครงการและมาตรการที่ทำได้ทันที เห็นผลจริง และใหญ่พอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมได้

พร้อมยกตัวอย่าง…โครงการ “คนละครึ่ง พลัส พลัส” ที่ออกแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับ กรอบวินัยการคลัง และ จะเริ่มประกาศใช้ หลังจากเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมนี้ โดย ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี จะได้รับสิทธิ์มากกว่า เพื่อจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบมากขึ้น!!!

โครงการนี้…ไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ยังสร้างผลในระยะยาว ด้วยการขยายฐานภาษี และเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐในอนาคต

อีกมิติที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ การยกระดับศักยภาพของประชาชน ผ่านการ Re-skill และ Up-skill ที่ไม่ใช่แค่เพียงการให้เงินอุดหนุนชั่วคราว แต่เป็นการ “สร้างขีดความสามารถใหม่” เช่น การช่วยให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยเข้าถึงระบบอีคอมเมิร์ซ การใช้โปรแกรมบัญชีดิจิทัล เพื่อลดภาระการทำบัญชี และการทำให้เข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้น

การเชื่อมโยงตั้งแต่…การทำบัญชีที่ถูกต้อง การเข้าระบบภาษี จนถึง การได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ทั้งหมดคือ “วงจร” ที่ทำให้เศรษฐกิจฐานรากแข็งแรงขึ้นอย่างยั่งยืน!!!

ดร.เอกนิติ ยังกล่าวถึงการ “เร่งปลดล็อก” การลงทุน โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาที่คำขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีจำนวนมาก แต่ไม่เกิดการลงทุนจริง และในฐานะที่ เขาได้รับมอบหมายจาก “นายกฯอนุทิน” ให้กำกับดูแล BOI จึงยืนยันที่จะ นำประสบการณ์ที่เคยทำไว้กับ PPP Fast Track (มาตรการเร่งรัดกระบวนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ) มาใช้เพื่อปรับกระบวนการอนุญาต

ไม่ว่าจะเป็น….การขอไฟฟ้า น้ำประปา หรือใบอนุญาตต่าง ๆ จะช่วยเร่งให้เงินลงทุนลงสู่ระบบเศรษฐกิจจริง ลดความล่าช้าจากกฎกติกาที่ซับซ้อน

ซึ่งตรงกับความต้องการที่แท้จริงของนักลงทุนต่างชาติอย่างที่สุด!!!

และทั้งหมดนี้ ได้ถูกเชื่อมโยงกลับมาที่คำว่า “เศรษฐกิจนำการเมือง” เพราะหากระบบการคลังมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง มีเปิดเผยทุกต้นทุนและผลลัพธ์ของทุกๆ การจัดโครงการและมาตรการใดๆ ของหน่วยงานรัฐ

ก็จะ…ไม่เปิดช่องให้การเมืองเข้ามาบิดเบือนใช้งบประมาณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และจะ…ไม่เปิดโอกาสให้ข้าราชการและผู้รับเหมาโครงการที่ไม่สุจริต “ฮั้วกัน” โกงเกินเงินแผ่นดินได้อีกต่อไป เช่นกัน

นโยบายเศรษฐกิจของ “รัฐบาลอนุทิน” จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขจีดีพี การส่งออก การลงทุน รวมถึงตัวเลขของนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยว แต่จะเป็น…

เครื่องมือสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและกำกับพฤติกรรมทางการเมืองในอนาคตอันใกล้!!!

ดังนั้น เดินสายพบปะ…องค์กรภาคธุรกิจ/หน่วยงานภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ของ นายกฯอนุทิน และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นไปเพื่อหวังจะสร้างความเชื่อมั่น ควบคู่ไปกับการรับฟังทุกข้อเสนอจากทุกภาคส่วน

สิ่งนี้..สะท้อนความต้องการให้ “รัฐบาลอนุทิน” จำต้องเร่งมาตรการ Quick-Big Win ที่เน้นการ…ฟื้นสั้น (เศรษฐกิจระยะเร่งด่วน) มุ่งยาว (ยกระดับศักยภาพให้คนไทยเก่งขึ้น) และ กระจายตัวไปทั่วประเทศ

ภายใต้แนวคิดหลักสำคัญ “กระตุ้นสั้น แต่คิดถึงผลในระยะยาว” พร้อมกับ แผนเดินหน้าปฏิรูประบบกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ  

สิ่งเหล่านี้ มิต่างจาก “พลังเสริม” หนุนนำให้ทิศทาง “เศรษฐกิจนำการเมือง” เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพราะเมื่อ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่คิดปิดหูปิดตาประชาชน แต่เลือกเปิดรับข้อเสนอจากเอกชน และพร้อมจะดำเนินการตามกรอบวินัยการคลัง เพื่อสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จที่เป็นจริง

มันก็จะก่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

ดังกล่าวคำกล่าวของ ดร.เอกนิติ ที่ว่า Action Speaks – Founder Done :  ผมจะทำให้ดู เท่าที่ทำได้ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” บวกกับ…ความพยายามที่จะสร้างความโปร่งใส ทั้งด้าน…การรักษาวินัยการคลัง และการสร้างธรรมาภิบาลการคลัง

เหล่านี้…ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในทางการเมือง!!! หากแต่เป็น “หลักคิด” ที่จะสะท้อนอยู่ในทุกโครงการ และทุกมาตรการของภาครัฐ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว…การกระทำและผลลัพธ์ที่โปร่งใสต่างหาก ที่จะสร้างความเชื่อมั่น ทั้งจากประชาชน นักลงทุน และองค์กรจัดอันดับเครดิตระหว่างประเทศ

เศรษฐกิจที่โปร่งใส มีวินัย และตรวจสอบได้ จึงกลายเป็น “เกราะกำบังที่ดีที่สุด!” ที่ไม่เพียงเพื่อ…ปกป้องสถานะทางการเงินของประเทศ แต่ยังเป็นกลไกป้องกันการทุจริตทางการเมือง ได้อีกทางหนึ่ง…

“เศรษฐกิจนำการเมือง” จึงไม่ใช่เพียงคำตอบของนักการเมือง หากแต่เป็น “ทางออก” ที่ทำให้สังคมไทยเห็นอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าที่เคยเป็น

หรือแฟนคลับ “ทีมข่าวการเมือง” สำนักข่าวยุทธศาสตร์ออนไลน์ จะคิดเห็นเป็นอื่น…???.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password