สานต่อ…ไร้รอยต่อ!

ผลพวงความเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ “อายุสั้น” ทำให้หลายโครงการ/มาตรการของรัฐบาลชุดก่อนๆ จะได้รับการสานต่อจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน กับ 2 แนวคิดที่ “นายกฯอนุทิน” ต้องสานต่อ ทั้งแนวทางแก้หนี้อย่างเป็นระบบ และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน! คือการทำงานแบบไร้รอยต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน (อ่าน… 15 มาตรการ “แก้หนี้-พักหนี้-เติมสินเชื่อ” รัฐบาลเพื่อไทย)
ใครจะคิด? เลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 หรือเมื่อกว่า 2 ปีก่อน คนไทยเราจะมี…รัฐบาลจากการเลือกตั้งครั้งนั้น มากถึง 3 ชุด เริ่มจาก…
“รัฐบาลเศรษฐา” (นายกฯเศรษฐา ทวีสิน) “รัฐบาลแพทองธาร” (นายกฯแพทองธาร ชินวัตร) ซึ่งทั้ง 2 ชุด ต้องมีอันเป็นไปในทางการเมือง ด้วยเหตุผลอะไรคงไม่ต้องพูดถึง???
กระทั่ง วันนี้…เป็น “รัฐบาลอนุทิน” (นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่จะอยู่บริหารประเทศ ภายใต้เงื่อนไข MOA เพียงแค่ 4 เดือน ก่อนจะประกาศยุบสภาฯและคืนอำนาจไปให้กับประชาชนคนไทย เพื่อจะได้จัดการเลือกตั้งกันใหม่ในห้วงต้นปี 2569
กระนั้น การขับเคลื่อนประเทศไทย ไม่ว่าจะในมิติใด? การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ล้วนสัมพันธ์และเชื่อมโยงถึงกัน อีกทั้งยังส่งผลกระทบวงกว้างไปยังทุกภาคส่วน จำเป็นที่…ทุกพรรคการเมืองและนักการเมืองทุกคน หากได้ทำหน้าที่ “ฝ่ายบริหาร” จำต้องสานต่อภารกิจ เพื่อนำพาประชาชนและบ้านเมืองไทย ก้าวสู่วิถีใหม่ที่ดีกว่าเดิม…
แม้จะหลุดพ้นความเป็นรัฐบาลไปแล้ว ทว่า ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล อดีต รมช.คลัง ในฐานะ “รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ยังได้สรุป 15 มาตรการ “แก้หนี้-พักหนี้-เติมสินเชื่อ” ที่เคยดำเนินการในสมัยของ “รัฐบาลเพื่อไทย” และหวังใจว่า…
แนวทางที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” เคยทำเอาไว้ โดยเฉพาะ การช่วยเหลือประชาชนรวมกันแล้วกว่า 6 ล้านคน จะไม่ถูกปฏิเสธต่อการนำไปดำเนินการต่อ….จากรัฐบาลชุดปัจจุบัน
อายุที่สั้นของ “รัฐบาลอนุทิน” อาจส่งผลดีต่อโครงการและมาตรการเก่าๆ เพราะการปัดฝุ่น และ/หรือ การสานต่อโครงการและมาตรการดีๆ ของรัฐบาลชุดก่อน ก็น่าจะทำได้ง่ายกว่าการคิดและทำโครงการและมาตรการใหม่ๆ
ตัวอย่าง…โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล ของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับรัฐบาลที่มีอายุสั้น
“…จะพยายามอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดหรอกว่านโยบายที่ออกไปจะเป็นนโยบายของพรรคอื่น กลุ่มอื่น คนอื่น ถ้าเกิดประโยชน์กับประเทศ ทำหมด เพราะเวลามีอยู่แค่นี้”
ข้างต้นคือ คำพูดของ นายกฯอนุทิน เมื่อครั้งที่เดินทางร่วมกับ “ทีมเศรษฐกิจ” เพื่อไปพบกับ ผู้บริหารของ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568
กลับสู่ การสรุป 15 มาตรการ “แก้หนี้-พักหนี้-เติมสินเชื่อ” ที่เคยดำเนินการในสมัย “รัฐบาลเพื่อไทย” เรื่องนี้ ดร.เผ่าภูมิ สรุปว่า…
ในช่วงการบริหารของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ภายใต้การนำของ นายกฯเศรษฐา และนายกฯแพทองธาร ในระยะเวลาเพียง 2 ปีนั้น รัฐบาลได้ออกมาตรการด้าน “การแก้หนี้ – พักหนี้ – เติมสินเชื่อ” ผ่านกลไกของกระทรวงการคลัง
นอกเหนือ จากการปล่อยสินเชื่อปกติของสถาบันการเงิน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกว่า 15 มาตรการ สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกว่า 6 ล้านราย โดย อดีต รมช.คลัง หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า…โครงการเหล่านี้จะได้รับการสานต่อจาก “รัฐบาลอนุทิน” พร้อมกับย้ำทิ้งท้ายว่า “โครงการเหล่านี้ ไม่ควรถูกพับทิ้งกลางทางครับ”
สำหรับ 15 มาตรการ “แก้หนี้-พักหนี้-เติมสินเชื่อ” ที่ว่านี้ ประกอบด้วย…
1. โครงการแก้หนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 2.3 ล้านบัญชี ลูกหนี้ 1.7 ล้านราย
2. โครงการสินเชื่อ GSB Boost Up อนุมัติสินเชื่อ 16,290 ราย จำนวนเงินรวม 98,778 ล้านบาท
3. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เกษตรกร (พักหนี้เกษตรกร) ระยะที่ 1 – ระยะที่ 3 ระยะที่ 1 จำนวน 1.43 ล้านราย และผ่านการทำ Loan Review เพื่อเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ ระยะที่ 2 แล้ว จำนวน 1.34 ล้านราย มูลหนี้ทั้งสิ้น 201,871 ล้านบาท
4. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 อนุมัติค้ำประกันสินเชื่อรวม 59,423 ราย จำนวนเงิน 42,541 ล้านบาท
5. โครงการสินเชื่อซื้อ – สร้าง อนุมัติสินเชื่อ 27,370 ราย จำนวนเงิน 37,925 ล้านบาท
6. โครงการสินเชื่อซ่อม – แต่ง อนุมัติสินเชื่อ 6,308 ราย จำนวนเงิน 588 ล้านบาท
7. โครงการสินเชื่อสวัสดิการข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อนุมัติสินเชื่อ 23,927 บัญชี มูลหนี้ 11,747 ล้านบาท
8. โครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อนุมัติสินเชื่อ 370,897 ราย จำนวนเงิน 6,567 ล้านบาท
9. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รหัส 21 จำนวน 1.09 ล้านราย มูลหนี้ทั้งสิ้น 7,617 ล้านบาท
10. โครงการสินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อแก้ไขหนี้บุคลากรภาครัฐ สหกรณ์ได้รับความช่วยเหลือ 10,319 บัญชี มูลหนี้ทั้งสิ้น 4,116 ล้านบาท
11. โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชนเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ อนุมัติสินเชื่อ 39,716 ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น 1,419 ล้านบาท
12. โครงการขายฝากหรือให้สินเชื่อจดจำนองที่ดินผ่าน บริษัท มีที่ มีเงิน อนุมัติสินเชื่อ 2,508 บัญชี มูลหนี้ทั้งสิ้น 9,780 ล้านบาท
13. โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME อนุมัติสินเชื่อ 774 ราย จำนวนเงิน 4,459 ล้านบาท
14. โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME อนุมัติสินเชื่อ 145 ราย จำนวนเงิน 46 ล้านบาท
และ 15. โครงการสินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ อนุมัติสินเชื่อ 3,214 ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น 576 ล้านบาท
ฯลฯ
นั่นคือ ผลงานในส่วนที่ ดร.เผ่าภูมิ ได้สรุปเอาไว้…
แต่สำหรับประเทศไทยและคนไทยแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองบ่อยครั้ง ย่อมไม่ก่อผลดีสักเท่าใด? ยิ่งหาก “รัฐบาลใหม่” ไม่คิดสานต่อโครงการและมาตรการดีๆ ของรัฐบาลชุดก่อนๆ ด้วยแล้ว อาจถือเป็นการทำลายโอกาสของคนไทยเลยกว่าได้…
อย่างที่เกริ่นในตอนต้น ความเป็น “รัฐบาลอายุน้อย” ของ “รัฐบาลอนุทิน” ประกอบกับ…ทัศนคติในการบริการประเทศ ของ “นายกฯอนุทิน” มีความเป็นไปได้สูงที่ โครงการและมาตรการของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ซึ่งช่วงเวลาหนึ่ง ทั้ง พรรคภูมิใจไทย และ “นายกฯอนุทิน” ก็เคยร่วมทำงานด้วยกันมาก่อน…
จะได้รับการสานต่อ ในบางเนื้องานเหล่านี้ไปข้างหน้า…แบบไร้รอยต่อ!!!
หากจับ “สัญญาณการเมือง” ยามนี้ มีสิ่งบ่งชี้จาก “รัฐบาลอนุทิน” ว่า พวกเขามีความตั้งใจจะหยิบยกบางนโยบายเดิมมาดำเนินการต่อ นอกจากการฟื้น โครงการ “คนละครึ่ง” ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือบรรเทาค่าครองชีพโดยตรง ยังจะปัดฝุ่น โครงการท่องเที่ยวคนละครึ่ง, โครการ Easy E-Receipt และอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นในสมัย “รัฐบาลลุงตู่” ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
แน่นอนว่า…โครงการของ “รัฐบาลเพื่อไทย” โดยเฉพาะ โครงการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งถือเป็น ภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที รวมถึง โครงการ “หวยเกษียณ” เพื่อเป็นกลไกสร้างวินัยการออมให้แก่ประชาชน และอื่นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่ “รัฐบาลอนุทิน” จะได้นำเอาไปใส่ไว้ในนโยบายฯ…ที่เตรียมจะแถลงต่อรัฐสภาในเร็วๆ นี้
แม้ว่า…รัฐบาลจะมีข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ เนื่องจากมีกรอบการทำงานเพียง 4 เดือนในฐานะ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” แต่ดูเหมือนพวกเขา…จะยังคงมุ่งเน้นมาตรการที่เห็นผลได้เร็วและตรงต่อความต้องการของประชาชน
เช่น มาตรการลดค่าครองชีพ ค่าเดินทาง และค่าทางด่วน รวมถึงการอัดฉีดเงินผ่านโครงการที่ประชาชนคุ้นเคยและให้ผลเชิงเศรษฐกิจชัดเจน
การสานต่อหรือดัดแปลงมาตรการจาก “รัฐบาลเพื่อไทย” และรัฐบาลก่อนหน้านี้ สู่ “รัฐบาลอนุทิน” มันได้สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญว่า…
การแก้หนี้และเสริมสภาพคล่องให้กับประชาชน ไม่ใช่เรื่องของการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ต้องการความต่อเนื่องและความจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า…ประชาชนจะไม่ถูกทอดทิ้งกลางทาง!!!
อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการลักษณะนี้ ย่อมต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน ทั้ง…งบประมาณมหาศาล ความเสี่ยงด้านหนี้เสียของสถาบันการเงิน รวมถึง การจัดการที่ต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
ดังนั้น ความสำเร็จของ “รัฐบาลอนุทิน” จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกโครงการที่เหมาะสม สร้างสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเร่งด่วนกับการรักษาวินัยทางการคลัง ตลอดจนการประเมินผลเพื่อปรับปรุงให้มาตรการเหล่านี้ ไม่กลายเป็นเพียง…การแก้ปัญหาระยะสั้น แต่สามารถสร้างฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงในระยะยาว
ในที่สุด! บทเรียนจาก “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่ได้ริเริ่ม…โครงการแก้หนี้อย่างเป็นระบบ และบทบาทของ “รัฐบาลอนุทิน” ที่พร้อมจะหยิบยกสิ่งที่ดีมาสานต่อ…
แสดงให้เห็นว่า…หากนักการเมืองมีความตั้งใจและการบริหารจัดการที่รอบคอบ นโยบายด้านการเงินและการคลังของรัฐ ก็สามารถนำมาใช้เป็น เครื่องมือสำคัญ ในการ “ลดความเหลื่อมล้ำ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความเชื่อมั่น” ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศได้…
คนไทยก็ได้แต่หวังใจว่า…รอยต่อระหว่าง รัฐบาลต่างพรรค…ต่างขั้วการเมือง จะไม่เป็นปัญหาสำหรับการ “สานต่อ” โครงการและมาตรการดีๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน!!!.