ปักหมุด!!??

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์! “ปักหมุดบ้านของนักการเมือง” อาจไม่ใช่ยาวิเศษ “หยุดโกง!“ แต่ก็เป็น “ไฟฉาย” ที่ส่อง “จุดซ่อนเร้น” ของอำนาจการเมือง สร้างแรงกดดันต่อ “ผู้ถืออำนาจรัฐ” ให้ต้องตระหนักว่า…สายตาประชาชนคอยเฝ้าจับตามองตลอดเวลา จึงมิอาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบได้ แต่ความโปร่งใส ไม่ควรขึ้นกับการ “ปักหมุด” แค่ทางกายภาพ แต่ต้อง “ปักหมุด” ลงในจิตสำนึกของนักการเมืองด้วย
เหตุการณ์ Gen Z ในประเทศเนปาล กลายเป็นความหวาดผวาของ “ผู้ปกครองฉ้อฉล” ทั่วโลก หลายคนอดคิดกันไม่ได้ว่า….Next Station!!! ผู้นำชาติไหน? จะเป็น…รายต่อไป???
ประเทศไทย…ในวันที่กำลังจะได้ “ครม.ชุดใหม่” ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญชีรกูล นายกรัฐมนตรี แม้สถานการณ์…ยังไปไม่ถึงจุดที่จะทำให้ คนทุก Gen ในประเทศไทย ต้องออกมาแสดงพลังขับไล่! แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า…สิ่งนี้…จะเกิดขึ้นไม่ได้!!!
โดยเฉพาะ การแต่งตั้ง “2 รมต.” ทั้ง…กระทรวงคมนาคมและกระทรวงยุติธรรม ที่อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ตามมา หากผลพวงที่เกี่ยวข้องกับ 2 กระทรวงข้างต้น เป็นผลทำให้คดีความระดับ “บิ๊กบึ้ม!” ทั้งปม…ฮั้วเลือกตั้ง สว. และคดีเขากระโดง ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับตัว นายอนุทิน ฐานะ “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” รวมถึง กรรมการบริหารพรรค และเครือข่ายรวม 91 คน จากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 229 คน…
หากเรื่องหนึ่งเรื่องใด? หรือทั้ง 2 เรื่อง…ต้องมีอันเป็นไป!!! หรือแม้แต่ถูก “ยื้อ” จนเดินหน้าต่อไม่ได้…
โอกาสที่ประเทศไทยจะเดินตามรอยเนปาล…ก็ใช่ว่าจะเกินจริงกันไป!!??
ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ออกมายอมรับว่า…เขาและนายเนวิน ชิดชอบ “ครูใหญ่” ของพรรคภูมิใจไทย รวมถึงกรรมการบริหารของพรรคฯ ได้รับหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีฮั้วเลือก ส.ว. และเป็นเขาที่ย้ำว่า…พร้อมไปพิสูจน์ข้อกล่าวหาว่าจะจริงหรือเท็จอย่างไร? แต่ขอยืนยันว่า…ตนเองไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ก่อนจะย้ำว่า…คดีนี้เป็นเรื่องของหลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่การเมืองเรื่องลอย ๆ แต่ก็ชมว่า…ไม่แปลกใจถ้าคนมองว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะมีหลายคนกล่าวหาแบบนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดยังเป็นแค่…“หมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหา” ซึ่งยังไม่ใช่ผู้ต้องหาตามหมายจับ เป็นการให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงตามกระบวนการของกฎหมาย
เมื่อถูกถามว่า…เรื่องนี้เป็นการโจมตีทางการเมืองหรือไม่? นายอนุทิน ยอมรับว่า…มีคนมองอย่างนั้น ก่อนจะย้ำว่า “ถ้าจะมองให้เกี่ยวก็เกี่ยวกันหมด” แต่ยืนยันว่า “เราทำตามกฎหมาย ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ได้กลัว”
สำหรับ…คดี “เขากระโดง” นายอนุทิน ยืนยันว่า…จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย ไม่มีการแทรกแซง และตนไม่มีอะไรต้องกังวล
“สิ่งที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย สิ่งที่ผิดจัดการทันที ไม่เอาเปรียบคนอื่นแน่นอน” ก่อนจะเน้นย้ำว่า…ตัวเขาและพวก…เคารพกฎ ระบอบรัฐธรรมนูญ และประชาชน
“ขอเรียกร้องให้แต่ละฝ่ายใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยไม่ใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง” นายอนุทิน ระบุและย้ำว่า…ขณะนี้ สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนทั้งหมด!!!
นักวิเคราะห์การเมืองบางคน? ตั้งข้อสังเกตว่า…นอกจากคดีฮั้ว สว. และเขากระโดงแล้ว หากภายหลังเข้าบริหารประเทศเต็มตัว แล้วเกิดเหตุการณ์ใหม่เสริมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น…
การเพิ่มจำนวน สส.ฝ่ายรัฐบาล, การอยู่เกินเวลาที่ตกลงไว้กับพรรคประชาชน, การไม่ทำตามคำมั่นสัญญา ทั้งเรื่อง…แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน รวมถึงเกิดมหกรรมการโกง แบบสะบั้นหั่นแหลก!
สิ่งเหล่านี้ ย่อมอาจถูกนำมา “จุดประเด็น” ต่อต้านและขับไล่รัฐบาลได้อยู่แล้ว แต่จะถึงขั้น “เนปาลโมเดล” หรือไม่? คงต้องลุ้นกันไป…
ยังมี อีกประเด็นใหม่ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป??? กับข้อเสนอจาก “นักวิชาการอิสระ” นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ ที่โยนหินถามทาง ในทำนองที่ว่า…
คนไทยควรจะทำการ… “ปักหมุดบ้านของนักการเมือง” เอาไว้ก่อน…ดีหรือไม่?
สอดรับกับแนวคิดเรื่องการตรวจสอบการทำงานของนักการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยได้เรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษ
นั่นเพราะ…ที่ผ่านมา การเมืองไทยได้ดำเนินไปในท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า…การใช้ “อำนาจรัฐ” มักจะกลายเป็น “โอกาสส่วนบุคคล” ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มากกว่าการทุ่มเทเพื่อสาธารณะ
กระนั้น เมื่อประชาชนพบเห็นข่าวสารเกี่ยวกับ การทุจริตคอร์รัปชัน, การใช้อำนาจในทางมิชอบ, การเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง หรือแม้กระทั่ง การกอบโกยทรัพย์สินมหาศาล โดยไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ฯลฯ
ย่อมทำให้เกิดคำถามถึง “กลไกที่แท้จริง” ในการป้องกันการโกง!!!
หนึ่งในนั้น ก็คือ…การ “ปักหมุดบ้านของนักการเมือง” นั่นเอง
คำว่า “ปักหมุดบ้านของนักการเมือง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง…การกระทำเชิงคุกคาม หรือบุกรุกสิทธิส่วนบุคคล หากแต่เป็นการเสนอ “เชิงสัญลักษณ์” ที่มุ่งหมายให้ที่พักอาศัยของนักการเมือง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น “บุคคลสาธารณะ” กลายเป็นจุดที่ประชาชนสามารถรับรู้ ติดตาม และตรวจสอบ ได้ว่า…
พวกเขาคือ…นักการเมืองคนใด? เป็นใคร? อยู่ที่ไหน? และมีความรับผิดชอบต่อประชาชนอย่างไร?
การปักหมุด??? ไม่ใช่การเปิดเผยข้อมูลเพื่อทำร้ายนักการเมือง!!! แต่เป็นการสะท้อนว่า…นักการเมืองไม่ควรปิดบังตัวตนของตนเองจากสาธารณะ ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจก้าวเข้าสู่ “ถนนการเมือง” ซึ่งเป็นเวทีแห่งการรับใช้ประชาชน ก็ควรยอมรับว่าชีวิตส่วนตัวในมิติที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจสาธารณะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
และไม่สามารถจะ “ปิดประตู” อยู่แต่ในบ้านหรู โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำถามของประชาชน???
ย้อนกลับไปดูโพสต์ของ นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ ที่เสนอว่า “ปักหมุดบ้านนักการเมืองไทย… #เนปาลโมเดล” เพื่อกดดัน “ผู้มีอำนาจ” ที่ทรยศต่อชาติและคอร์รัปชัน
การอ้างอิงถึง “โมเดลเนปาล” ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ! เพราะเนปาลเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ประชาชน Gen Z ลุกฮือครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านความเหลื่อมล้ำและการโกงกินของชนชั้นนำ โดยเหตุการณ์นั้น ได้แสดงให้เห็นว่า…
พลังประชาชนสามารถสร้างแรงกดดันได้จริงเมื่อความอดทนต่อการเมืองแบบเดิมหมดสิ้นลง!!!
ในบทวิเคราะห์ของ นายศุภวิชญ์ แก้วคูนอก ผู้จัดการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านการคอร์รัปชัน (KRAC) ที่เผยแพร่ทางสื่อ the101.world ชี้ว่า…การลุกฮือของเยาวชนเนปาลสะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อระบบการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของคนส่วนน้อยผู้มีอภิสิทธิ์
การ “ชี้เป้า” ไปยัง…นักการเมือง หรือการ “ปักหมุด” จึงเป็น สัญลักษณ์ที่สื่อว่าประชาชนไม่อาจทนอีกต่อไป และต้องการความรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อสาธารณะ
สำหรับ สังคมไทย มุมมองเช่นนี้ สะท้อนว่า…เหตุใดแนวคิด “ปักหมุดบ้านนักการเมือง” จึงเริ่มมีคนพูดถึง แม้จะยังอยู่ใน ระดับการถกเถียงมากกว่าการลงมือปฏิบัติ???
อย่างไรก็ตาม สังคมไทยก็ไม่ควรจะหลงใหลไปตามข้อเสนอดังกล่าว โดยไม่สนใจในประเด็นข้อกฎหมายและเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของไทย ที่กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า…
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ที่อยู่บ้าน โดยไม่ได้รับความยินยอม อาจมีโทษทั้งจำคุกและปรับ ซึ่ง นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญ ได้เตือนกันดังๆ แล้วว่า…เส้นแบ่งระหว่าง “การปักหมุดเชิงสัญลักษณ์” กับ “การละเมิดสิทธิ” นั้น…มันบางมาก!!!
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะเข้าข่าย “หมิ่นประมาท” หรือ “การนำเข้าข้อมูลเท็จ” ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หากมีการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานรองรับ…
ความเห็นนี้สะท้อนว่า…สังคมไทยต้องระวังไม่ให้ความตั้งใจที่ดี ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นการคุกคาม!!!
ในทำนองเดียวกัน องค์กรด้านสิทธิพลเมือง อย่าง…iLaw ยังได้วิเคราะห์ว่า…การใช้กฎหมายการชุมนุมสาธารณะในไทย ต่างมีข้อจำกัดมาก เช่น การกำหนดพื้นที่ต้องห้าม การให้อำนาจเจ้าหน้าที่เลิกชุมนุมได้ง่าย
ดังนั้น หากการ “ปักหมุด” ที่นำไปสู่กิจกรรมภาคสนามในบริเวณใกล้บ้านของนักการเมือง อาจเกิดความเสี่ยงต่อการจะถูก “สั่งเลิกชุมนุม” หรือ “ถูกดำเนินคดี” ที่จะมีสูงมาก…
การขับเคลื่อนเชิงสัญลักษณ์ จึงควรระวังไม่ให้กลายเป็นการละเมิดสิทธิในอีกมิติหนึ่ง
นี่คือ “ข้อจำกัด” ของการชุมนุมภาคประชาชน!!!
กระนั้น ก็มี “เสียงของประชาชน” ในโซเชียลมีเดีย ที่ดังสะท้อนความโกรธและไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยมีตัวอย่างคอมเมนต์หนึ่ง ที่น่าสนใจ โดยกล่าวว่า…
“เราควรจะปักหมุดบ้านนักการเมืองไว้ก่อนเลย…หวังว่านักการเมืองชั่ว ๆ จะเลิกนิสัยคอร์รัปชันเสียที”
หรืออีกโพสต์หนึ่งที่เชิญชวนว่า…“มาร่วมเป็นสมาชิก เป็นกำลังใจให้กัน เพื่อผลักดันแนวคิดดังกล่าว”
ความเห็นเหล่านี้ แม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ก็สะท้อนว่า…มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับการใช้สัญลักษณ์เข้มข้นเพื่อกดดันนักการเมือง!!!
สิ่งที่น่าสังเกต! คือ แม้จะมีเสียงสนับสนุนและคัดค้านปะปนกัน แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีบุคคลสำคัญหรือคนดังไทยออกมาแสดงท่าทีโดยตรง ต่อแนวคิด “ปักหมุดบ้านนักการเมือง”
ส่วนใหญ่ยังเป็นการพูดถึงใน แวดวงนักวิชาการอิสระและประชาชนทั่วไป มากกว่า…
อย่างไรก็ดี หากมีการแสดงออกจาก…บุคคลสาธารณะ เช่น นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิด สถานการณ์นี้…ก็อาจเปลี่ยนสมดุลการถกเถียงของสังคมไทยได้ทันที!!!
กระนั้น เมื่อมองในภาพรวม…กลยุทธ์การ “ปักหมุดบ้านนักการเมือง” อาจไม่ใช่ยาวิเศษที่หยุดการโกงได้โดยตรง แต่เป็น “ไฟฉาย” ที่ส่องไปยังพื้นที่ซ่อนเร้นของอำนาจทางการเมือง สร้างแรงกดดันให้ผู้ดำรงตำแหน่งต้องตระหนักว่า…ตนเองอยู่ภายใต้สายตาของประชาชนตลอดเวลา และไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบได้
อย่างไรก็ตาม หากจะทำให้เกิดผลจริง! สังคมไทยควรหา “สมดุล” ระหว่าง…การใช้สัญลักษณ์กดดัน กับการออกแบบระบบข้อมูลสาธารณะที่โปร่งใสและปลอดภัย อาทิ ฐานข้อมูลทรัพย์สิน ผลประโยชน์ทับซ้อน และที่ตั้งเขตเลือกตั้งหรือที่ทำการพรรค มากกว่าการเปิดเผยพิกัดบ้านส่วนบุคคลซึ่งเสี่ยงละเมิดสิทธิ
ถึงบรรทัดนี้ ความโปร่งใส! จึงไม่ควรขึ้นกับการ “ปักหมุด” แค่ทางกายภาพ เท่านั้น แต่ต้อง “ปักหมุด” ลงในจิตสำนึกของนักการเมืองเองด้วย…
บ้านพักอากาศของพวกนักการเมือง หรือแม้แต่ข้าราชการบางคน? จึงไม่ใช่แค่…ที่พักอาศัย แต่คือสัญลักษณ์ของความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้
และ ตราบใดที่สังคมไทยยังคงเฝ้ามองถึงความโปร่งใส? สิ่งนี้…ก็จะยังเป็น “พันธะสัญญา” ที่ไม่มี…นักการเมือง คนใด?…สามารถจะหลีกเลี่ยงได้!!!.