เวลาในมือ!!??

แผนฟื้นคืนความเชื่อมั่น และกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น! ที่ “รัฐบาลอนุทิน” เตรียมขับเคลื่อนผ่าน “แพกเกจหลัก”…โครงการคนละครึ่ง, ท่องเที่ยวคนละครึ่ง, Easy e-Receipt และอื่นๆ กับงบ 1.5 แสนล้านบาท ภายใต้การกรอบเวลาสั้นๆ ปมอันเป็นหัวใจหลัก หาได้อยู่กับวงเงินที่มี หากแต่อยู่ที่ “ความรวดเร็วและความชัดเจน” ในการออกแบบและประกาศใช้มาตรการต่างๆ เวลาในมือที่มี “4 เดือน” อาจพลิกวิกฤตสู่โอกาสได้!!! ขึ้นกับว่า…(จุดจุดจุด)…หรือไม่???
“รัฐบาลใหม่” ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำลังเดินหน้าฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ด้วย นโยบายเร่งด่วน!!! ด้วยความหวังที่จะสร้าง “แรงกระตุ้น” ให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวทันที!
โดยเฉพาะ ในช่วง 4 เดือนที่มี สำหรับการบริหารประเทศในเฟสนี้…
ท่ามกลาง ภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ค่าเงินบาทแข็งจนกระทบต่อภาคการส่งออก และกำลังซื้อของประชาชนที่ยังคงเปราะบาง ดังนั้น การเตรียมการจัดสร้าง “แพกเกจ” มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ถูกนำเสนอในครั้งนี้ จึงถูก…วางเป้าหมาย ให้เป็น “Quick Win” หรือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเวลาอันสั้น
กับ งบประมาณที่ดึงเอามาจากส่วนอื่นๆ นั่นคือ…งบประมาณที่เหลือจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 26,000 ล้านบาท งบกลางปีงบประมาณ 2569 อีก 25,000 ล้านบาท และงบฉุกเฉินในปีงบประมาณ 2569 อีก 100,000 ล้านบาท
รวมเป็นวงเงินรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท
รัฐบาลยืนยันว่า…เม็ดเงินนี้ เพียงพอในการดำเนินการมาตรการเร่งด่วนช่วงปลายปีนี้ ไปจนถึงต้นปีหน้า
ด้วยความคาดหวังที่ว่า…มาตรการ/โครงการ และเม็ดเงินจำนวนนี้ ก็น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ได้
รัฐบาลพร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และจะไม่ปล่อยให้ความเปราะบางยืดเยื้อออกไป แม้แต่นาทีเดียว!!!
งบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ ถูกวางแผนจะนำไปดำเนินการกระจาย ผ่าน…มาตรการ/โครงการหลัก ไม่ว่าจะเป็น…โครงการคนละครึ่ง, มาตรการ Easy e-Receipt, มาตรการท่องเที่ยวคนละครึ่ง และโครงการอื่นๆ ที่จะเสริมกำลังซื้อและกระตุ้นการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไทย ในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569
โดย “โครงการคนละครึ่ง” ถือเป็นมาตรการที่ได้รับการยอมรับว่า…จะช่วยเสริมกำลังซื้อของประชาชนได้อย่างกว้างขวางในช่วงที่ผ่านมา โดยการกลับมาของโครงการในรอบใหม่นี้ ถูกคาดหวังว่า…จะสร้างแรงกระตุ้นทางจิตวิทยาให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มรายได้น้อยและผู้มีรายได้ปานกลาง
ขณะเดียวกัน “มาตรการ Easy e-Receipt” ได้ถูกผลักดันควบคู่กันไป เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่โปร่งใสและสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ถือเป็นการจูงใจที่มุ่งหวังให้ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
สอดรับกับ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม…
อีกมาตรการที่ รัฐบาลวางแผน เอาไว้ ก็คือ “ท่องเที่ยวคนละครึ่ง” โดยตั้งใจจะ ดึงดูดให้ประชาชน หันมาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ชดเชยที่วันนี้…ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568
หดตัวลงทั้งจำนวนคนและเม็ดเงินรายได้อย่างน่าใจหาย!!!
โดยจำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 8 เดือนแรก พบว่า มีจำนวน 21,879,476 คน ลดลง 7.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หายไปประมาณ 7.16% ขณะที่ รายได้มีเพียง 1,014,303 ล้านบาท หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 5.4%
รัฐบาล คงอาจคาดหวังจากการผลักดัน โครงการ “ท่องเที่ยวคนละครึ่ง” ว่า…น่าจะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจท้องถิ่น ไม่มากก็น้อย…
โดย รัฐบาลพร้อมจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนในรูปแบบร่วมจ่าย เหมือนกับ โครงการคนละครึ่ง ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า…จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้หลายหมื่นล้านบาท
อีกทั้ง โครงการเหล่านี้ ก็น่าจะช่วยกระจายรายได้สู่จังหวัดต่างๆ และเสริมภาพรวมเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรงขึ้น!!!
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของมาตรการเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การจัดสรรงบประมาณ เท่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับ “ความรวดเร็วและความชัดเจน”ของรัฐบาลในการออกแบบและประกาศใช้มาตรการต่างๆ
เนื่องจากทุกฝ่ายต่างเห็นต้องตรงกันว่า…ช่วงเวลา 4 เดือนแรก ถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ของการฟื้นฟูทั้งระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
หากเกิดความล่าช้าขึ้น??? ความเชื่อมั่นของทั้งภาคเอกชนและประชาชนจะสั่นคลอนทันที!!!
ภาคธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ หอการค้าไทย ได้สะท้อนถึง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข ไม่ว่าจะเป็น…
ค่าเงินบาทแข็งที่กดดันการส่งออก ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ หรือปัญหาค่าครองชีพที่สูงกว่ารายได้จริงของครัวเรือน
สิ่งเหล่านี้…ล้วนเป็น “ข้อจำกัดสำคัญ” ที่อาจทำให้มาตรการกระตุ้นชั่วคราวไม่เกิดผลเต็มที่??? หากไม่มีการแก้ไขควบคู่กันไป…
เสียงสะท้อนจาก นักวิเคราะห์เศรษฐกิจบางส่วน ยังชี้ให้เห็นว่า…แม้เม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาทจะถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบ แต่ในมุมมองมหภาค ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อาจไม่สูงมากนัก เนื่องจากเป็นมาตรการในระยะสั้น และมุ่งเน้นการบริโภค ไม่ใช่การลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ดี การเดินหน้าอย่างจริงจังในระยะสั้น สามารถสร้าง “สัญญาณเชิงบวก” ได้ว่า…รัฐบาลพร้อมจะกอบกู้ความเชื่อมั่นและทำให้ประชาชนเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งนี้
มีผลต่อชีวิตประจำวันในทันที!!!
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนยังได้เสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการระยะสั้น เหล่านี้ ควบคู่ไปกับ การวางรากฐานระยะยาว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ การสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติ และการเร่งรัดโครงการดิจิทัลและพลังงานสะอาด…
เพื่อให้ ประเทศไทย ไม่เพียงแต่อยู่รอดจาก การกระตุ้นกำลังซื้อในปัจจุบัน แต่ยังสามารถ แข่งขันได้ในเวทีโลกในอนาคต!!??
ล่าสุด เป็น นายกฯอนุทิน พร้อมด้วย 2 รัฐมนตรีภาพลักษณ์บวก “เก่ง – ดี – มีคุณภาพ” นั่นคือ…นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่ รมว.คลัง และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ ที่ได้ยกทีมเข้าพบและรับฟังข้อเสนอจาก…หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำโดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการฯ และคณะ…
กับข้อเสนอ “7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” เพื่อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาใช้เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย…
1. Rebuild Confidence Plan เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศและนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย 2. Liquidity for SMEs & Households เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการและครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก 3. Ease Cost of Living ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนของประชาชน 4. Seamless Trade ค้าขายคล่อง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม (Fair Trade) สร้างความสามารถแข่งขันให้ SMEs
5. Safety & Security of Thailand ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และสังคมออนไลน์ 6. Trade War Response เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความผันผวนค่าเงิน และ 7. Boost Demand & Tourism กระตุ้นกำลังซื้อและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ
ดร.พจน์ กล่าวว่า…ข้อเสนอในระยะเร่งด่วน 4 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับ การแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34–35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า…“ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือ แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้าฯ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทย”
การเดินทางรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจาก ตัวแทนและแกนนำภาคเอกชน ย่อมส่งผลดีต่อการดำเนินงานของรัฐบาล ที่ไม่ใช่การดำเนินการชนิด “อยู่บนหอคอยงาช้าง” เหมือนรัฐบาลชุดก่อนๆ
การประสานและบูรณา “ข้อเสนอ” จากภาคเอกชน เข้ากับนโยบาย, มาตรการ และโครงการของรัฐ โดยเฉพาะกับ…แพกเกจ “กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” ก็อาจช่วยทำให้ มาตรการ Quick Win ใน 4 เดือนแรกที่รัฐบาลมี…
ไม่สูญเปล่า!!!
หากแต่เป็นก้าวสำคัญสู่…การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง!!!
ในภาพรวม…4 เดือนแรกของ “รัฐบาลอนุทิน” จึงเปรียบเสมือน “บททดสอบครั้งสำคัญ” ที่จะพิสูจน์ทั้ง…ความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณเร่งด่วน และ การสื่อสารนโยบายให้เกิดความชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็น…โครงการคนละครึ่ง มาตรการ Easy e-Receipt มาตรการท่องเที่ยวคนละครึ่ง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน รวมถึง มาตรการอื่นๆ ที่จะมีออกมา…
ล้วนถูกมองว่าเป็น “เครื่องมือหลัก” ที่จะทำให้เม็ดเงินไหลเวียนสู่ประชาชนโดยตรง!
หากสามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลา จะช่วยสร้างความมั่นใจทั้งในและนอกประเทศ ว่า…เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพในการฟื้นตัว!!!
ในทางตรงกันข้าม…หากเกิดความล่าช้า??? ความเชื่อมั่นอาจถูกบั่นทอน และมาตรการที่ตั้งใจให้เป็น Quick Win ก็อาจกลายเป็นเพียงนโยบายชั่วคราวที่ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง!!??
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่…ประชาชนและภาคธุรกิจรอคอย อาจไม่ใช่เพียงการประกาศตัวเลขงบประมาณที่ยิ่งใหญ่
แต่มันคือ…การเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน!!!
ตั้งแต่…เงินในกระเป๋าที่ใช้จ่ายได้มากขึ้น ธุรกิจที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ไปจนถึงบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่คลี่คลาย
ความท้าทายทั้งมวล จึงอยู่ที่ว่า….รัฐบาลจะสามารถทำให้ “งบแสนล้านบาท” กลายเป็น “แรงส่ง!” ที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่? ในช่วงเวลา 4 ดือนข้างหน้า
และนี่คือ…โจทย์ใหญ่ที่ “รัฐบาลอนุทิน” จะต้องพิสูจน์ให้ได้ต่อสายตาของประชาชนทั้งประเทศ กับเวลาในมือที่มีเพียงแค่ 4 เดือน!!!.