วันที่ 9 เดือน 9 “อดีตทักษิณ” ก้าวเข้าคุก และอาจถือเป็นก้าวสำคัญที่ตัวเขาและครอบครัว “ชินวัตร” จะเลิกเล่นการเมือง ส่วนตัว…ก็จะกลับไปเลี้ยงหลานๆ มี่บ้านจันทร์ส่องหล้าตลอดกาล!!!

วันที่ 9 กันยายน 2568 หรือ “9 เดือน 9” ได้ถูกบันทึกไว้เป็นอีกหนึ่ง วันประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 1 ปีเต็ม จากกรณีการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ซึ่ง ศาลวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่นับเป็นการบังคับโทษ

คำสั่งดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อตัวของ นายทักษิณ โดยตรง แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่อ “ครอบครัวชินวัตร” พรรคเพื่อไทย และสังคมการเมืองไทย โดยรวม เพราะนี่คือ ครั้งแรก! ที่อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีบทบาททางการเมืองอย่างยาวนาน และเคยประกาศว่า…จะกลับบ้านที่เมืองไทยอย่างเท่ๆ ต้องเดินเข้าสู่เรือนจำตามกระบวนการยุติธรรม

บรรยากาศหน้าศาลและแรงสนับสนุน : ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 9 ก.ย. สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศต่างมาปักหลักรายงานข่าวบริเวณศาลฎีกา ขณะที่ประชาชนผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อแดง ร่วมตะโกนให้กำลังใจ เมื่อ ขบวนรถของนายทักษิณและครอบครัว มาถึง เวลา 09.25 น.

นายทักษิณ ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยกมือไหว้สื่อมวลชนและประชาชน ก่อนเดินเข้าสู่ห้องพิจารณาพร้อม ลูกสาวทั้งสองคน คือ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รวมถึง บุตรเขยและทนายความส่วนตัว สะท้อนให้เห็น ภาพครอบครัวที่ยืนเคียงข้างกันในห้วงเวลาที่สำคัญที่สุด

คำตัดสิน – จุดจบทางการเมืองที่แท้จริง : กระทั่ง เมื่อเวลา 11.00 น. ศาลอ่านคำสั่งว่า การเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจนั้นไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การบังคับโทษ จึงให้ถือว่านายทักษิณยังไม่ได้รับโทษตามคำพิพากษาเดิม และสั่งให้บังคับโทษจำคุก 1 ปีเต็มทันที

คำสั่งนี้เท่ากับการ “ปิดฉาก” บทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยครองอำนาจทางการเมืองและครองใจประชาชนจำนวนมาก การก้าวเข้าสู่เรือนจำครั้งนี้…จึงไม่เพียงเป็น “โทษจำคุก” หากยังเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดบทบาททางการเมืองของนายทักษิณและครอบครัว อย่างแท้จริง

เสียงจากครอบครัว “แพทองธาร” : ภายหลังการฟังคำพิพากษา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และบุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ กล่าวทั้งน้ำตาและด้วยความหนักใจว่า…

“ต้องเข้าใจว่าในฐานะคนในครอบครัวก็ค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง แต่ดิฉันภูมิใจที่คุณพ่อได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ท่านทำงานเพื่อบ้านเมืองตลอดเวลา แม้วันนี้จะเป็นวันที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้แล้วว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องติดคุก”

อดีตนายกฯแพทองธาร ยังระบุด้วยว่า…ครอบครัวจะให้ความสำคัญกับการอยู่เคียงข้างกัน และพร้อมเดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาเพื่อรับใช้ประชาชนต่อไป แต่ก็ยอมรับว่า “นี่เป็นก้าวสำคัญที่ครอบครัวชินวัตรจะต้องหันหลังให้การเมืองตลอดกาล”

การเมืองไทยภายหลัง 9 เดือน 9 : คำตัดสินในครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายประเมินว่า บทบาทของครอบครัวชินวัตรในเวทีการเมืองไทยอาจปิดฉากลงอย่างถาวร แม้ว่า…พรรคเพื่อไทยจะยังคงเดินหน้าต่อ แต่แรงดึงดูดและภาพลักษณ์ของ “ตระกูลชินวัตร” ที่เคยเป็นแกนกลางอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สำหรับ มวลชนผู้สนับสนุน แม้ยังคงมีอุดมการณ์และความรักในตัวของ “ผู้นำจิตวิญญาณ” แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ…นายทักษิณก้าวเข้าสู่เรือนจำแล้ว และ ครอบครัวก็ได้ส่งสัญญาณชัดเจน แล้วว่า…พร้อมจะลดบทบาททางการเมืองลง

ซึ่งนั่น…ย่อมสะเทือนต่อโครงสร้างและสมการอำนาจในสภาผู้แทนราษฎรอย่างมิต้องสงสัย

บทสรุป – ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ : วันที่ 9 เดือน 9 จึงไม่ใช่เพียงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษา แต่มันคือ “วันเปลี่ยนผ่าน” ของการเมืองไทย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เคยเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูปและความขัดแย้งทางการเมือง ต้องเดินเข้าสู่คุกตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมกับการประกาศยุติบทบาททางการเมืองของครอบครัวชินวัตรอย่างเป็นทางการ

นี่คือ…ก้าวสำคัญที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะ“อดีตผู้นำ” ที่สร้างคุณูปการหลายด้าน และในฐานะ“อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรก” ที่ต้องรับโทษจำคุก

ดังนั้น ทุกก้าวย่างนับจากนี้…ไม่เพียงหมายถึงเส้นทางชีวิตของคนคนหนึ่ง แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของการเมืองทั้งระบบ ที่จะต้องเดินหน้าไปข้างหน้า…โดยปราศจาก“เงาของตระกูลชินวัตร”

และตัวของ “อดีตนายกฯทักษิณ” ที่ นักวิเคราะห์ทางการเมือง ส่วนใหญ่เชื่อว่า…การเดินทางเข้าสู “เรือนจำ” ในฐานนะ“นักโทษชาย” นั้น

อาจะมี…เรื่องเซอร์ไพรส์เชิงบวก ในวันสำคัญปลายปี ที่นำสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่..

วันที่มีจุดเริ่มต้นจาด “9 เดือน 9” นำสู่การเปลี่ยนผ่านจาก…สถานที่จองจำ เป็น…บ้านพักจันทร์ส่องหล้า.อันอบอุ่น

กับบทบาทใหม่…คุณปู่/คุณตาของบรรดาหลานสุดที่รัก…สมใจอยาก!!!.