Frenemy

หลายประเทศทั่วโลก? ต่างใช้ “ยุทธศาสตร์” ในการบริหารจัดการศาสตร์แห่ง Frenemy นั่นคือ การเป็นมิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน!!! ได้อย่างลงตัวและก่อประโยชน์สูงสุดต่อชาติตัวเอง เสียดายที่ “ผู้นำไทย” จมปลัก! อยู่กับคดี “คลิปเสียงหลุด!” จนมิอาจนำศาสตร์ “มิตร-ศัตรู” มาสร้างประโยชน์ต่อบ้านเมือง ฝากให้รัฐบาลชุดต่อไป “คิดอ่าน” การนี้…เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและคนไทยทั้งมวล
ท่ามกลางกระแสข่าวการเมืองอันเชี่ยวกรากในเมืองไทย? สังคมไทย นั่งลุ้นกันอยู่ว่า…น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะอยู่หรือไป? กับปม “หลุดคลิปเสียง”
ทั้งที่ ปัญหาตามแนวตะเข็บชายแดนตะวันออก ก็“จ่อ” ปะทะรอบใหม่! ระหว่าง…ทหารไทยและกัมพูชา และใกล้เข้ามาทุกขณะ!!??
ผลพวงจากที่ นายฮุน เซน และ นายฮุน มาเนต “2 พ่อลูก – ผู้นำกัมพูชา” หักหลังจีน พร้อมกับส่งเทียบเชิญให้ สหรัฐอเมริกา เข้ามา “คลุกวงใน” บนพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน
ทำเอา…นายสี จิ้นผิง “ผู้นำจีน” หัวร้อนอย่างที่สุด!
โลกรู้ทั่วกัน! “สหรัฐฯ – จีน” คือ คู่ขัดแย้ง” ระดับ “อภิมหายักษ์” ของโลกในทุกมิติ…ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ ฯลฯ แม้กระทั่ง…เทคโนโลยี
การที่ “ผู้นำกัมพูชา” ทำ (หักหลัง) กับ “พญามังกร” ย่อมส่งผลกระทบต่อกัมพูชา ทั้งทางตรงและทางอ้อม!!
เศรษฐกิจกัมพูชา…ที่เคยอู้ฟู่! เพราะอาศัย “ทุนจีน” ทั้งจากเงินกู้เพื่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และจากเงินลงทุนของ “กลุ่มทุนจีน” ที่มีทั้ง…ทุนขาว-เทา-ดำ ทั้งที่ ได้รับ (ขาว) และ ไม่ได้รับ (เทา-ดำ) การสนับสนุนจากทางการจีน
มาบัดนี้…ทุกอย่างเกือบทั้งหมด ถูกเรียกกลับแผ่นดินใหญ่กันหมด!
อีกด้านหนึ่ง…การฝึกซ้อมรบร่วมกัน ระหว่างทหารลาวและรัสเซีย ณ เวลานี้ มิต่างจากแรงกดดันทางอ้อม! ที่จีน…เปิดทางให้รัสเซียเข้ามายังดินแดนอารักขาของตัวเอง
จ่อสร้างสงครามระหว่าง…ลาวและกัมพูชา!!!
สะท้อนว่า…จีนเริ่มเปิดปฏิบัติการเอากับ “ลูกหลานพระยาละแวก” ที่มี คุณสมบัติพิเศษ! จากสายเลือดสู่สายเลือด นั่นคือ…ทรยศ คิดคด เนรคุณ แว้งกัด ฯลฯ สารพัดความเลว ที่ล้วนมีอยู่ในสายเลือดของชาติพันธุ์นี้ อย่างเข้มข้น!
นี่จึงเป็นการเอาคืนอย่างหนักแน่น…จริงจัง
ในเวทีโลก…ทุกฝ่ายต่างยึดทฤษฎี Frenemy ในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับชาติที่อาจเป็นได้ทั้ง…มิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน!!??
Frenemy คือ คำสนธิ ระหว่าง…Friend (เพื่อน) + Enemy (ศัตรู) จึงหมายถึง…ศัตรูในมิตร และมิตรในศัตรู!
หลายประเทศ…ยึดแนวทาง Frenemy ในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน หรือชาติที่คิดว่า…อาจมีปัญหา หากไม่มีความร่วมมือระหว่างกัน
ระหว่างนี้ “ผู้นำไทย” คงไม่หนักแน่นพอจะคิดเรื่องทฤษฎี Frenemy ได้ อย่างว่า…เอาตัวเองให้รอด ก็ไม่ง่าย หรือหากรอดไปได้ ก็อยู่ได้ยาก!!!…เพราะสังคมไทย มันฝังใจไปแล้วกับ 2-3 วลี ที่ นายกฯแพทองธาร พูดในคลิปเสียงดังกล่าว
เรียก “ศัตรูชาติ!” เป็นญาติผู้ใหญ่ ระดับ…Uncle (คุณอา)
ยื่นข้อเสนอที่ว่า “อยากได้อะไรให้บอกมา…”
แล้วยัง…มองกองทัพเป็นฝ่ายตรงข้าม!
หาก นายฮุน เซน ไม่สวมบท “จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์” นำคลิปการสนทนาร่วมกัน มาเปิดเผยต่อสาธารณะ กระทั่ง คนไทยรู้…ทั่วโลกก็รู้กันทั่ว! แล้วล่ะก็…
มันจะเกิดอะไรขึ้น? กับ…ประเทศไทยและคนไทย กองทัพไทยและแผ่นดินไทย รวมถึง ทรัพยากรใต้แผ่นดินและท้องทะเลไทย!!!
งานนี้…ถึงจะ รอดช่องโหว่ “สวนกล้วย” มาได้??? ก็ไม่น่าจะรอด “สหบาทา” ของสังคมไทย!!! ที่ว่ากันว่า…ลึกๆ แล้ว มี “กองทัพ” คอยหนุนหลัง…ได้นานนักหรอก
กลับมาที่ สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น! กับแผ่นดินใหญ่ของอาเซียน (ไม่รวมชาติหมู่เกาะต่างๆ)
ในช่วงเวลาที่โลก…กำลังเผชิญการแข่งขัน เชิง “มหาอำนาจ” อย่างเข้มข้น!
วลี Frenemy ในเอเชียและอาเซียน จึงกลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความสัมพันธ์ระหว่าง…จีน อินเดีย และอาเซียน
ปม…ภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินโด-แปซิฟิก ที่กำลังเปลี่ยนโฉมไป? เมื่อ “ชาติมหาอำนาจ” ที่เป็นทั้งคู่แข่งและพันธมิตร
เลือกจะ “จับมือกัน” ในบางครั้ง? โดยเฉพาะ เรื่องที่เป็นไปเพื่อ “ปกป้อง” ผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน
ขณะเดียวกัน ก็ยังคงความหวดระแวง และแข่งขันกันในอีกหลายด้าน
Frenemy จึงไม่ใช่เพียงศัพท์เชิงสังคม แต่เป็น “กรอบ” การมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สะท้อนสภาวะซับซ้อนและซ้อนทับของยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน
จีนกับอินเดีย เคยได้ชื่อว่าเป็น “ศัตรูคู่แค้น” กันมาก่อน คือ “คู่ตัวอย่าง” ที่ชัดเจนที่สุด! ของ Frenemy
ทั้ง 2 ประเทศ มีประวัติความขัดแย้งมายาวนาน ตั้งแต่สงครามชายแดนปี 1962 มาจนถึงการปะทะที่หุบเขากัลวานเมื่อปี 2020 ทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน…เข้าสู่ภาวะตึงเครียดสูงสุด!!!
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง จีนและอินเดีย กลับเลือกที่จะร่วมมือกันในบางประเด็น โดยเฉพาะการประสานงานในเวที “พหุภาคี” อย่าง BRICS (กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่รายใหญ่) และ SCO (องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้) รวมถึง การลดแรงกดดันตามแนวชายแดน LAC (เส้นแบ่งเขตแดนชั่วคราวระหว่างจีนกับอินเดีย ) ตลอดจน การสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าผ่านเมียนมาและอาเซียน
ความร่วมมือเฉพาะด้านนี้ เกิดขึ้นเพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างตระหนัก ว่า…หากยังเผชิญหน้ากันต่อไป โดยไม่ยอมลดราวาศอกกัน ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ก็จะยิ่งมีช่องทางเข้ามาขยายอิทธิพลในภูมิภาค และทำให้เอเชียกลายเป็นสมรภูมิที่พวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สำหรับ จีน การประสานกับ…อินเดีย ไม่ใช่การจับมือถาวร? แต่เป็นการ “เปิดทาง” สู่…ยุทธศาสตร์ใหม่ในอินโด-แปซิฟิก
จีนต้องการให้สหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตก เผชิญกับโครงสร้างอำนาจที่ไม่ใช่เพียง “จีนปะทะสหรัฐฯ”
แต่เป็นการ “วางหมาก” อีกขั้น ด้วยการลากเอา “หลายขั้วอำนาจ” ที่ซับซ้อนกันในภูมิภาคนี้ มาเพื่อคะคานอำนาจของสหรัฐฯ
การมีอินเดียเข้ามาร่วมมือ แม้เพียงบางประเด็น? แต่ จีน ก็เชื่อว่า…สิ่งนี้ จะช่วยสร้างแรงถ่วงดุลให้ดูหนักแน่นยิ่งขึ้น
ขณะที่ อินเดีย เอง ก็ไม่ต้องการให้ภูมิภาคนี้ ถูกครอบงำโดยจีนแต่เพียงผู้เดียว จึงเลือกใช้ความสัมพันธ์แบบ Frenemy เพื่อดึงผลประโยชน์จากทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งการรับเทคโนโลยีและการค้าฝั่งตะวันตก รวมถึงการเชื่อมโยงภูมิภาคในฝั่งตะวันออก
ในขณะเดียวกัน อาเซียน โดยเฉพาะ ชาติบนแผ่นดินใหญ่ อย่าง…ไทย ลาว กัมพูชา และเมียนมา ก็อยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็น Frenemy กับจีน อย่างชัดเจน?
จีนคือพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การค้าชายแดน และโครงการ Belt and Road Initiative ทำให้ชาติอาเซียนจำนวนมากได้ประโยชน์จับต้องได้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาเซียนก็ต้องระวังภัย! จากจีน
ทั้งประเด็น…การใช้อิทธิพลเหนือแม่น้ำโขง การสร้างเขื่อนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาทะเลจีนใต้ที่กระทบ สิทธิอธิปไตย ของ เวียดนามและฟิลิปปินส์
รวมถึงความกังวลว่า…ความใกล้ชิดกับจีนเกิน ไปอาจทำให้…อาเซียน ต้องสูญเสียบทบาทการเป็น ศูนย์กลางสมดุลภูมิภาค
กรณีไทย…สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน ไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูงและการลงทุนใน EEC แต่ก็ไม่ยอมรับทุกข้อเสนอ เช่น การระเบิดแก่งแม่น้ำโขงที่ไทยต้องคำนึงถึงอธิปไตยและสิ่งแวดล้อม
ไทยจึงเลือกวางท่าทีแบบ “สองขา” คือ เปิดประตูรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากจีน แต่ก็ยังคงรักษาสายสัมพันธ์กับสหรัฐฯในด้านการทหารและความมั่นคง
นี่คือ Frenemy ในรูปแบบ “ร่วมมือแต่ระวัง” ที่ชัดเจนที่สุด!
กัมพูชา ซึ่ง เปิดรับจีนแทบทุกด้าน ก็มิได้ หลุดจากกรอบ Frenemy เช่นกัน แม้จะพึ่งพาการลงทุนและความช่วยเหลือจากจีนอย่างเต็มที่ ทั้งใน โครงการคลองฟูนัน เตโช มูลค่าราว1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและความร่วมมือทางทหาร
แต่ก็มีเสียงกังวลภายในว่า…การเอนตัวไปทางจีนมากเกินไป! อาจทำให้ เสียอิสระทางยุทธศาสตร์และตกเป็นเบี้ยล่างของปักกิ่ง
ความสัมพันธ์นี้…จึงเป็นมิตรภาพที่มีความเสี่ยงแฝงอยู่เสมอ!
นอกจากนี้ การที่จีนจัดการประชุม 4 ฝ่าย เมื่อเร็วๆ นี้ ร่วมกับ…ไทย ลาว และเมียนมา โดยไม่เชิญกัมพูชา เข้าร่วม ทั้งที่ กัมพูชาก็เผชิญปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
นั่นก็เท่ากับ เป็นการ “ส่งสัญญาณ” เชิงการทูต ว่า…จีนสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมมือกับใครและตัดใครออกไปชั่วคราว
การใช้กลไกเช่นนี้ สะท้อนการออกแบบเครือข่ายความสัมพันธ์ ที่มีทั้งแรงดึงดูดและแรงกดดันในเวลาเดียวกัน
ประเทศที่ถูกเชิญก็ได้รับผลประโยชน์และสถานะพิเศษ! ขณะที่ ประเทศที่ไม่ถูกเชิญก็รู้ตัวว่าต้องเร่งปรับจังหวะ เพื่อให้กลับมาตรงกับผลประโยชน์ของจีน ต่อไป
ความสัมพันธ์ในลักษณะ Frenemy ยังสะท้อนออกมาในท่าทีของอาเซียนต่อสหรัฐฯ ด้วย กล่าวคือ…อาเซียนต้องการให้สหรัฐฯเป็นตัวถ่วงดุลจีน โดยเฉพาะในประเด็น ทะเลจีนใต้และความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่พอใจที่สหรัฐฯ มักใช้วาทกรรม “สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” มาเป็น เครื่องมือกดดันรัฐบาลในภูมิภาคนี้
หลายประเทศมองว่า…นโยบายลักษณะนี้ เท่ากับเป็นการ “แทรกแซงกิจการภายใน” และ อาจสร้างความไม่มั่นคง แทนที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพ ได้
อาเซียน…จึงต้องรักษาระยะห่าง!!! ร่วมมือกับสหรัฐฯในบางเรื่อง แต่ก็พยายามไม่ให้กลายเป็น “พันธะผูกมัด” จนเสียอิสระไป
ภาพรวมทั้งหมด! ทำให้คำว่า Frenemy กลายเป็นคำที่สะท้อนโฉมหน้าของภูมิรัฐศาสตร์เอเชียในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างคมชัด!!!
มิตรภาพและศัตรู…ไม่ได้ถูกแบ่งด้วย “เส้นตรง” อีกต่อไป หากแต่ซ้อนทับกันในหลายมิติ
จีนและอินเดียจับมือในบางเรื่อง แต่ก็ยังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น!
อาเซียนร่วมมือกับจีน ในด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ระวังภัยด้านความมั่นคง!!
ไทยเปิดประตูให้จีนในด้านการค้า แต่ก็ยังหันไปหาสหรัฐฯด้านความมั่นคง!!!
กัมพูชารับจีนเต็มที่ แต่ก็เสี่ยงสูญเสียอิสระ
ขณะที่ สหรัฐฯและยุโรปเอง ก็ต้องปรับกลยุทธ์”””เพื่อรับมือภูมิภาคที่ไม่ได้เลือกข้างชัดเจน อีกต่อไป
สุดท้าย คำว่า Frenemy ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ได้หมายถึง…การอยู่กึ่งกลางแบบไม่ตัดสินใจ แต่หมายถึง ความสัมพันธ์ที่ทั้งร่วมมือและแข่งขันไปพร้อมกัน
แต่เป็นสภาวะที่ ประเทศต่าง ๆ เลือกใช้ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองสูงสุดในระบบโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
เมื่อ มิตรและศัตรู…สามารถเป็นคนเดียวกันได้ ในเวลาเดียวกัน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ อินโด-แปซิฟิก จึงกลายเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่น การคำนวณ และการจัดสมดุลใหม่ อย่างต่อเนื่อง
Frenemy ของไทยวันนี้และอนาคตอันใกล้ ไม่ได้หมายความแค่เพียง…สหรัฐฯ จีน อินเดีย อาเซียน หรือกัมพูชา หากยังหมายรวมถึง…ชาติและภูมิภาคอื่นๆ ที่ไทยเราจะต้องเปิดใจและเปิดกว้างยอมรับและเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเป็น…ทั้งมิตรและศัตรู ในเวลาเดียวกัน
หากสามารถบริหารจัดการ Frenemy ได้? ไทยเรา…ก็มีโอกาสจะไปได้รอดในโลกแห่งการแข่งขันที่ทวีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนปมต่างๆ ไว้มากมาย
เพียงแต่…หากไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้! ก็คงต้อง “ยกยอด” ไปให้ รัฐบาลชุดต่อไป เอาไปคิดต่อว่า…จะบริหารจัดการ Frenemy กันอย่างไร???.