ตัดขาด!!!

แม้การจะเอาผิดโทษฐานเป็น “อาชญากรสงคราม” กับ “2 พ่อลูกตระกูลฮุน” ไม่ใช่เรื่องง่ายในยามนี้ ทว่าการ “ตัดขาด” ประเทศ “กัมพูชา” ของพวกเขา ออกจากสารบบของโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สามารถจะทำได้ทันที สิ่งนี้…28 ชีวิตของ “คณะผู้แทน” จากนานาชาติ ที่ลงพื้นที่ดูสภาพความเป็นจริงของพลเรือนไทย จะเป็นผู้ให้คำตอบเอง!!??
เสียงสะท้อนจากภาพเหตุการณ์ที่ คณะเอกอัครราชทูต, อุปทูต 11 ประเทศ และคณะทูตทหาร 23 ประเทศ รวมถึง สื่อมวลชนต่างประเทศ รวม 28 ชีวิต ร่วมเข้าสังเกตการณ์ พื้นที่ของพลเรือน โรงพยาบาล และโรงเรียน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา
สะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา???

นั่นเพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐบาลไทยในการเปิดเผยข้อมูลต่อประชาคมโลก โดยมุ่งให้ผู้แทนจากต่างประเทศได้เห็นภาพความจริงอย่างรอบด้าน เพื่อสื่อสารมุมมองของเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
นับเป็นการเดินเกมทางการทูตเชิงรุกของไทยในท่ามกลางความขัดแย้งที่ซับซ้อน!!!
คณะผู้แทนจากนานาชาติ โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และอีกหลายประเทศ ต่างสะท้อนความรู้สึก “สะเทือนใจ” ต่อสภาพพื้นที่และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
โดยเฉพาะ ภาพความเสียหายในโรงพยาบาล โรงเรียน และชุมชนที่ถูกโจมตี
สื่อมวลชนต่างประเทศได้รายงานตรงไปยังสำนักข่าวต้นทางในหลายภูมิภาค เพื่อย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการคุ้มครองพลเรือนตามหลักมนุษยธรรม
เหตุการณ์นี้ ทำให้รัฐบาลไทยได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งจากนานาชาติ ว่า “เปิดกว้างและโปร่งใส” ต่อการตรวจสอบเหตุการณ์และสถานที่จริง พร้อมทั้งแสดง ข้อมูล เอกสาร หลักฐาน รวมถึง พยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์
เพื่อชี้แจงและตอบคำถามข้อสงสัยของ คณะผู้แทนจากนานาชาติ
แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับพฤติกรรมจากคนในรัฐบาลและกองทัพของอีกฝ่าย!!!
กระทั่ง ประเทศข้างบ้าน…ถูก “ประชาคมโลก” กดดันอย่างรุนแรง
แม้สถานการณ์ต่อจากนี้ โดยเฉพาะใน การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่าง 4–7 สิงหาคม2568 ณ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเป็น เวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางสันติภาพ โดยมีตัวแทนจาก..สหรัฐฯ และจีน เข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
ก็ใช่ว่า…ทุกอย่างจะจบลงได้ง่ายๆ
ตัวอย่างก็มีให้เห็นจากการที่มาเลเซีย ทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” นัดหมาย…นายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาเจรจาและตกลงหยุดยิง หลังเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
ความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา…หาได้ยากจากคนเชื้อชาตินี้
เพราะหลังเที่ยงคืน ต่อเนื่องถึงเช้าของอีกวัน พบว่า…เป็นฝั่งกัมพูชา ที่ยังคงโจมตีและทำลายฝั่งไทย อย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศรายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า…ในขณะที่ ทางการไทยจัดทริปพาคณะทูตลงพื้นที่ วันเดียวกัน (1 ส.ค.) และก่อนหน้านี้ ทางการกัมพูชาเอง ก็ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
เหมือนว่า…ทั้งไทยและกัมพูชากำลังแข่งกันสร้าง “เรื่องเล่า” ของตนในสายตานานาชาติ
การต่อสู้ครั้งนี้ จึงมิได้มีเพียงกระสุนปืน แต่ยังมี…เกมการทูต สื่อสารมวลชน และแรงกดดันจากมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง

ระยะสั้น สถานการณ์การหยุดยิง อาจยังคงอยู่ได้จากแรงหนุนของสหรัฐฯ และจีน แต่ใน ระยะยาว หาก 2ประเทศไม่สร้างกลไกเจรจาที่มีเสถียรภาพ และอาเซียน…ไม่ปรับบทบาทให้แข็งขันขึ้น
ความเสี่ยงของการปะทุซ้ำก็ยังคงสูง!!!
สิ่งที่ประชาคมโลกกำลังจับตาคือ ไม่ใช่เพียงว่า “ใครถูก ใครผิด” แต่คือ ไทยและกัมพูชาจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติครั้งนี้ให้เป็น “จุดเริ่มต้น” ของสันติภาพถาวรได้หรือไม่?
หรือจะปล่อยให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนราคาแพงที่สูญเปล่า!
อย่างไรก็ดี มีเสียงจากทั้งสื่อและผู้แทนนานาชาติ เชื่อว่า…กองทัพกัมพูชา มีเจตนาจะยิงจรวดพุ่งใส่พื้นที่พลเรือน ที่กินลึกจากแนวพรมแดนกว่า 20 กม.
ที่สำคัญ บริเวณดังกล่าว…ไม่มีแนวเขตหรือพื้นที่ทหารอยู่ใกล้แต่อย่างใด?
กองทัพกัมพูชา ภายใต้การควบคุมและบังคับบัญชา โดย นายฮุน เซน “ผู้นำจิตวิญญาณ” และ นายฮุน มาเนต “ลูกชาย” ที่มีตำแหน่งเป็นถึง “ผู้นำประเทศ (นายกรัฐมนตรี)”
จงใจและมีเจตนาจะ “ฆ่า” คนไทยผู้บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องในตัวบุคคลและพื้นที่ในทางการทหารแต่อย่างใด
ขัดกับข้อกฎหมายและหลักการสากล โดยเฉพาะ…กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL), ธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) ฯลฯ
มีเสียงเรียกร้องดังกระหึ่มไปทั่วโลก รวมแรงกดดันจากนานาชาติ ให้…องค์กร/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น…สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และ/หรือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ดำเนินการกับ “อาชญากรสงคราม 2 พ่อลูกคู่นี้”
ตั้งแต่…การประนาม, การคว่ำบาตร, การตัดสิทธิ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการดำเนินคดีอาญาในทันที
แม้ข้อเท็จจริง! ข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยเฉพาะ การดำเนินคดีอาญาในทันทีกับ “2 พ่อลูกตระกูลฮุน” จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ด้วยเหตุผล…
เพราะ…กัมพูชาไม่ได้เป็นภาคีของ ICC ทำให้ไม่มีเขตอำนาจโดยอัตโนมัติ เว้นแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จะมีมติส่งเรื่องเป็นกรณีพิเศษ เช่น กรณีซูดาน/ลิเบีย แต่การผ่านมติลักษณะนี้ยากมาก เพราะอาจถูกจีนหรือรัสเซียคัดค้านได้
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในสิ่งที่มิใช่…การดำเนินคดีอาญากับ “2 ผู้นำกัมพูชา” อย่างน้อยก็ในตอนนี้ (อนาคตอาจไม่แน่นอน) ก็ยังสามารถดำเนินการได้
ไม่ว่าจะเป็น…การประนาม, การคว่ำบาตร และการตัดสิทธิ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ยังคงสามารถดำเนินการได้ และทำได้ในทันที!
โลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อ “ตัดขาด – กัมพูชา” ออกจาก…โลกเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน โลกการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และต้องทำโดยเร็ว!!!.